ถึงแม้ว่าการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายแบบประคับประคองจะได้รับการยอมรับว่าช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตช่วงท้ายและเอื้อต่อการตายดี
แต่สำหรับบางครอบครัว ก็ยังอ่อนไหวหากจะคุยเรื่องการเตรียมตัวตายกับคนที่กำลังป่วยหนัก ด้านหนึ่งก็เพราะยังมีความเข้าใจผิดหลายประการเกี่ยวกับการดูแลแบบประคับประคองนั่นเอง
เรามาดูกันว่า ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการดูแลแบบประคับประคองและฮอสพิซแคร์มีอะไรบ้าง
1. ฮอสพิซเป็นสถานที่เฉพาะสำหรับดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายเท่านั้น
ความจริงคือ ฮอสพิซ ไม่ใช่สถานที่สำหรับผู้ป่วยระยะสุดท้ายในช่วงวันท้ายๆ เท่านั้น แท้จริงแล้ว ฮอสพิซ หมายถึง หลักการหรือแนวทางการดูแลสุขภาพที่ให้ความสำคัญกับการเพิ่มคุณภาพชีวิตช่วงท้าย ทั้งของผู้ป่วยและของคนใกล้ชิด หลักการนี้จึงครอบคลุมทั้งการดูแลที่บ้าน โรงพยาบาล หรือแม้แต่สถานพักฟื้นผู้สูงวัย และในฮอสพิซด้วย
2. เมื่อหมดหนทางรักษาผู้ป่วยด้วยวิธีการอื่นๆ แล้ว ผู้ป่วยจึงจะได้รับการดูแลแบบประคับประคอง
ความจริงคือ การดูแลแบบประคับประคอง (Palliative) ควรดูแลควบคู่ไปกับการรักษาเพื่อหายจากโรค (Curative) เหตุที่ดูแลผู้ป่วยทั้งสองแบบไปด้วยกันได้ ก็เพราะการดูแลแบบประคับประคองมุ่ง ‘เพิ่มคุณภาพชีวิต’ เพื่อสนับสนุนให้ผู้ป่วยอยู่รักษาโรคทางกาย และดูแลจิตใจ-สังคม ได้อย่างผาสุก ปัจจุบันการแพทย์พบว่า หลังจากผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคร้ายแรงแล้ว ถ้าได้รับการดูแลแบบประคับประคองเลย จะเกิดประโยชน์สูงสุด
3. การดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองที่บ้าน ให้ประโยชน์น้อย เพราะที่บ้านทำอะไรได้ไม่มากนัก
ความจริงคือ ถึงแม้ว่าบ้านจะมีข้อจำกัดด้านสถานที่ อุปกรณ์ หรือบุคลากรการแพทย์ แต่การดูแลแบบประคับประคองที่บ้าน (Palliative Home Care) บวกกับการวินิจฉัยที่ดี การเสริมสร้างทักษะผู้ดูแลที่บ้าน และการสนับสนุนอุปกรณ์การดูแล ก็ให้ประโยชน์กับผู้ป่วยที่มีความผูกพันกับบ้านและชุมชน หรือผู้ป่วยที่เดินทางได้ไม่สะดวกได้อย่างมากเช่นกัน นอกจากครอบครัวจะประหยัดค่าใช้จ่ายแล้ว ยังได้อยู่ในสถานที่คุ้นเคยและอยู่กับคนที่รักได้มากขึ้นด้วย
4. ถ้าหมอและพยาบาลมาเยี่ยมบ้านบ่อยๆ แสดงว่าผู้ป่วยใกล้เสียชีวิตแล้วแน่ๆ
ความจริงคือ ผู้ป่วยและครอบครัวที่เจ็บป่วยยาวนาน มักหมดหวังและไม่อยากจะสู้ต่อ การมีแพทย์มาเยี่ยมติดตาม ช่วยคลายความกังวลของญาติได้มาก ทั้งยังทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอุ่นใจที่มีบุคลากรสุขภาพมาเยี่ยม นอกจากนี้ บางทีแพทย์ก็มาเยี่ยมเพราะสนิทสนมคุ้นเคยกัน มีมิตรภาพที่ดีต่อกัน
5. การให้มอร์ฟีน ควรให้เฉพาะตอนผู้ป่วยใกล้เสียชีวิตแล้วเท่านั้น เพราะมอร์ฟีนจะทำให้ผู้ป่วยหมดสติ
ผู้ป่วยและญาติมักลำบากใจที่จะต้องใช้ยามอร์ฟีนเพื่อจัดการอาการไม่สุขสบายของผู้ป่วย ความจริงคือ ยามอร์ฟีนเป็นยาในกลุ่ม Opioid ที่มีประสิทธิภาพในการลดปวดและช่วยเรื่องการหายใจอย่างมาก หากคำนวณตัวยาอย่างเหมาะสม จะช่วยลดอาการปวด อาการไม่สุขสบายอื่นๆ โดยผู้ป่วยยังมีสติสัมปชัญญะอยู่
6. เมื่อใช้ยาลดปวดไประยะหนึ่งจะเกิดอาการเสพติด ปริมาณยาที่เคยใช้ได้ผล เมื่อใช้ไปนานๆ อาจไม่ได้ผลอีกต่อไป
ความจริงคือ การควบคุมความปวดด้วยยา ต้องคำนวณปริมาณยาตามความปวดและอาการไม่สุขสบายจากโรค หากก้อนเนื้อใหญ่ขึ้น จะเบียดอวัยวะข้างเคียงทำให้ปวดมากขึ้น แพทย์จึงต้องเพิ่มปริมาณยาลดปวดมากขึ้นตามไปด้วยเพื่อควบคุมอาการ การเพิ่มปริมาณยานี้จึงมิใช่เพราะผู้ป่วยเสพติด หรือเพราะยาไม่ออกฤทธิ์
7. ผู้ป่วยที่หมดสติจะหิว เพราะผู้ป่วยไม่ได้กินมาเป็นเวลานาน
ญาติมักรู้สึกผิดเมื่อผู้ป่วยไม่ได้กินอาหารเป็นเวลานาน เพราะโดยปกติ เราจะเตรียมอาหารให้คนที่เรารักกิน และกินกันพร้อมหน้าพร้อมตา แต่สำหรับผู้ป่วยระยะสุดท้ายหรืดหมดสติ ระบบอวัยวะต่างๆ จะหยุดทำงาน ร่างกายจึงไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานและไม่ต้องกินอาหาร ในทางตรงข้าม การบังคับให้ผู้ป่วยกินทั้งที่ร่างกายไม่พร้อม รังแต่จะทำให้ผู้ป่วยไม่สบายตัวและเกิดผลข้างเคียง เช่น ท้องอืด สำลัก อาหารบูดเน่าในกระเพาะ เป็นต้น
ที่มา Common misconceptions of palliative care, The Hospice Link, March – May 2018 https://gallery.mailchimp.com/5508b1c965ce165d543950c6e/files/db529a74-f12d-4eac-9e94-9b59e27c679e/Hospice_Link_March_2018_En_Web_browsing.pdf
ปรึกษาสายด่วนชีวามิตร โทร 089-816-3116