- คลังความรู้
- การทำพินัยกรรมชีวิต (Living Will) สำคัญอย่างไร
การทำพินัยกรรมชีวิต (Living Will) สำคัญอย่างไร
วางแผนชีวิตความตายอย่างมีสติ
เรื่องโดย ศาสตราจารย์ (พิเศษ) กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์
บทความเรื่องพินัยกรรมชีวิตหรือ Living Will นี้ เขียนขึ้นจากประสบการณ์ของผมเองที่สูญเสียภรรยาไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2558 จุดประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับผู้ที่เจ็บป่วย และ/หรือญาติมิตรของผู้เจ็บป่วย บุคคลากรที่ทำงานกับผู้เจ็บป่วย รวมถึงการวางแผนชีวิตกับความตายที่จะเกิดขึ้น ให้ตายอย่างมีสติทั้งตัวผู้ป่วย และญาติของผู้ป่วย
พินัยกรรมชีวิต (Living Will) คืออะไร
พินัยกรรมชีวิต (Living Will) หมายถึง หนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยื้อการตายในวาระสุดท้ายของตน หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยได้ (มาตรา 12 ของพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550) ดังนั้น พินัยกรรมชีวิต คือ เอกสารหรือ หนังสือที่เขียนแสดงความปรารถนา หรือเป็นการสื่อสารกับบุคคลในครอบครัว หรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง ให้เข้าใจถึงความต้องการในระยะสุดท้ายของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการเลือกวิธีการรักษาในระยะสุดท้าย การจัดการงานศพ หรืออาจกำหนดเป็นคำสั่งเสีย หรือคำขอสุดท้ายของผู้ป่วยที่ใกล้จะเสียชีวิต เพื่อให้ลูกหลานรักและสามัคคีกัน รวมทั้งบอกเล่าประสบการณ์ให้ลูกหลานฟัง หากไม่ได้ทำเป็นหนังสือ หรือเอกสารก็ควรจะมีกระบวนการพูดคุยถึงเจตนาที่เปิดเผยให้บรรดาญาติมิตรของผู้ป่วยได้รับรู้ มีการสื่อสารระหว่างกันระหว่างผู้ป่วยกับญาติผู้ป่วย เพื่อให้ผู้ป่วยหมดความกังวล ยอมรับความตาย และจากไปอย่างสงบก็ได้ รวมทั้งให้ญาติหรือบุคลากรทางการแพทย์ได้ปฏิบัติตามความประสงค์ของผู้ป่วยเองได้
พินัยกรรมชีวิต จึงไม่ใช่การทำหนังสือเพื่อให้บุคคลที่เจ็บป่วย และไม่สามารถรักษาให้หายได้ จบชีวิตลงเพื่อให้พ้นทุกข์ทรมานที่เรียกว่า (Euthanasia) หรือการุณยฆาต (Mercy killing) ซึ่งทั้งสองเรื่องข้างต้นเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ตามกฎหมายไทย
การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง: ประสบการณ์ของผม
ผมมีประสบการณ์จากการป่วยของภรรยาที่เป็นโรคมะเร็งรังไข่ และมีการแพร่กระจายไปจนกระทั่งเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง และมะเร็งที่ปอด ภายในเวลากว่า 11 ปี การแพร่ของมะเร็งในระยะท้ายไปต่อมน้ำเหลืองและปอดนั้นรวดเร็วมาก ใช้เวลาเพียง 1 ปี ตั้งแต่ทราบว่ามะเร็งมาเยี่ยมเยือน เราทั้งสองได้เอาใจใส่ในการดูแลรักษาสุขภาพกายใจ ปฏิบัติตัวอย่างเต็มที่ และหาวิธีการรักษาด้วยทุกวิถีทางทั้งแพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์ทางเลือก
ต่อมา แพทย์วินิฉัยว่าโรคได้ลุกลามเข้าสู่ระยะท้าย ซึ่งไม่สามารถรักษาให้หายได้ แต่ผมและครอบครัวก็ยังไม่สิ้นความหวัง จนกระทั่งเดือนสุดท้าย จึงตกลงเลือกแนวทางการดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care) ผมมาตระหนักว่า การดูแลแบบ Palliative Care ของผมยังไม่ครบถ้วนนัก เนื่องจากขาดความรู้และประสบการณ์ แม้ตัวผมและภรรยาต่างได้เคยเข้าร่วมรับการอมรมปฏิบัติมรณานุสติกับท่านพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล ด้วยความกรุณาของคุณหญิงจำนงศรี หาญเจนลักษณ์ เมื่อภรรยาป่วยเป็นมะเร็งรอบ 2 อีกทั้งภรรยาผมได้ทำ Living Will ตามแบบเพื่อปฏิเสธการรักษาเพียงเพื่อยื้อชีวิต
แต่สิ่งที่ผมค้างคาใจว่าเราไม่ได้ทำคือ การพูดคุยกันอย่างเปิดอก การกล่าวลากันอย่างจริงจัง ยังมีอะไรไหมที่เป็นความปรารถนาของเธอ แต่เธอไม่ได้บอกผม เพราะตลอดเวลาหลายปีดังกล่าว เรามีความหวังลึก ๆ ว่า เราจะมีชีวิตอยู่ด้วยกันนานกว่านี้ หรือรอให้ลูกทั้งสองเติบใหญ่เป็นฝั่งฝาก่อน แต่ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเหลือเกิน แม้กระทั่งวาระสุดท้ายก็ไม่ได้เตรียมการอะไรให้สมบูรณ์
ผมไม่อยากให้ผู้อ่านมีสภาพเดียวกับผม จึงอยากแนะนำให้ท่านอ่านหนังสือที่ชื่อว่า “ญาติจะช่วยดูแลผู้ป่วยมะเร็งอย่างไร ให้ชีวิตมีคุณค่าในเวลาที่เหลืออยู่” เขียนโดย ศาสตราจารย์แสวง บุญเฉลิมวิภาส (สำนักพิมพ์สายธาร, 2558) ท่านเขียนจากประสบการณ์จริงในการดูแลน้องสาวของท่าน เธอเป็นมะเร็งรังไข่เช่นเดียวกับภรรยาผม มีชีวิตอยู่กับความเจ็บป่วยใกล้เคียงกันคือ ประมาณ 10 ปี น้องสาวอาจารย์เสียชีวิตประมาณวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2558 ส่วนภรรยาผมเสียชีวิตวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2558 หนังสือเล่มนี้จะทำให้ท่านผู้อ่านเข้าใจถึงกระบวนการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งได้อย่างลึกซึ้ง พร้อมตัวอย่างพินัยกรรมชีวิต
ผมยังเสียดายว่า ในตอนที่ภรรยาผมป่วยหนัก ผมไม่ได้มีโอกาสได้พูดคุยกับอาจารย์แสวง และอ่านหนังสือเล่มนี้ ความจริงคือ ผมไม่ได้เข้าใจลักษณะอาการเจ็บป่วย และวิธีการดูแลรักษา ตลอดจนการสื่อสารในการบอกความจริงเลย และหนังสือเล่มนี้ได้ระบุทุกสิ่งไว้ตรงกับที่เกิดขึ้นกับภรรยาและผมเกือบทั้งหมด
ผมเชื่อว่าหากท่านผู้อ่านได้อ่านหนังสือเล่มนี้ โดยเฉพาะผู้ที่มีญาติป่วยเป็นมะเร็งหรือ เป็นผู้ป่วยโรคมะเร็งเอง จะได้เตรียมตัวรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น และสามารถพบกับความตาย หรือวาระสุดท้ายได้อย่างมีสติ โดยบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งสอง หรือสามฝ่าย จะได้พยายามหาโอกาสพูดคุย สื่อสาร และสะสางข้อข้องใจต่าง ๆ พร้อมทั้งการแสดงเจตนาให้จัดการเรื่องต่าง ๆ ให้เสร็จสมบูรณ์ ไม่ต้องพะว้าพะวงอีกต่อไป หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่บอกเล่าความจริง ให้ความรู้ ความเข้าใจ และแนวทางปฏิบัติที่ทำได้ เพื่อผู้ป่วยและญาติผู้ป่วยหนัก ได้จัดทำพินัยกรรมชีวิตได้ถูกต้องครบถ้วน แม้เรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่ยากลำบากก็ตาม
ถ้าเราเลือกได้เราควรเลือกที่จะตายดี: ตายแบบไหนที่จะเรียกว่าตายดี
ในหนังสือปทานุกรมแห่งความตาย (ดูปทานุกรมความตาย: รวมคำและความหมายเพื่อชีวิตที่ดีและความตายอย่างสงบ เครือข่ายพุทธิกา 2558) ระบุการตายดีไว้ 12 ข้อ ได้แก่
1. การตายที่ผู้ตายยอมรับได้พร้อมที่จะจากไป
2. เป็นการตายอย่างมีสติ
3. ทราบว่าความตายจะมาถึง และเข้าใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
4. ได้รับการปฏิบัติอย่างสมศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ และมีความเป็นส่วนตัว
5. ได้รับข้อมูลและการรักษาจากผู้เชี่ยวชาญต่าง ๆ ตามความจำเป็น
6. ได้รับการดูแลบรรเทาอาการปวดและอาการทางกายอื่น ๆ เป็นต้น
7. สามารถเลือกได้ว่าจะตายที่ไหน (ที่บ้าน หรือโรงพยาบาล)
8. ได้รับการดูแลทางอารมณ์และจิตวิญญาณตามต้องการ
9. สามารถเลือกได้ว่าควรมีใครอยู่ด้วยในวาระสุดท้ายของชีวิต
10. สามารถแสดงเจตนาล่วงหน้าได้ว่า ต้องการได้รับการปฏิบัติอย่างไรในวาระสุดท้าย (Advance Direction)
11. มีเวลากล่าวลาบุคคลที่ตนเองรัก สะสางสิ่งที่คั่งค้างในใจ
12. สามารถจากไปอย่างสงบเมื่อถึงเวลา ไม่ถูกเหนี่ยวรั้ง หรือยืดชีวิตโดยไร้ประโยชน์
ดังนั้น การแสดงเจตนาล่วงหน้าว่า ควรได้รับการปฏิบัติอย่างไรในวาระสุดท้าย การกล่าวลาบุคคลที่ตนเองรัก และสะสางสิ่งที่ค้างคาในใจ จึงเป็นเรื่องที่ควรกระทำ และเป็นสิทธิของผู้ป่วยที่จะเลือกว่า จะเตรียมตัวรับกับความตายอย่างไร เป็นการให้โอกาสผู้ป่วยได้ตายดี และเป็นไปตามเจตนารมณ์ของผู้ป่วย ซึ่งทั้งหมดสามารถทำได้ในหนังสือแสดงเจตนาไม่รับการรักษาเพื่อรับความตายได้อย่างมีสติ เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะสำหรับผู้ป่วย ญาติผู้ป่วยระยะสุดท้าย หรือผู้ที่เป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้
ความตายเป็นเรื่องที่ทุกคนหนีไม่พ้น เรามาเตรียมตัวตายอย่างมีสติกันเถอะครับ และเพราะมันเป็นเรื่องยาก จึงควรเตรียมแต่เนิ่น ๆ เพื่อความไม่ประมาท
ทำไมเราถึงต้องทำหนังสือปฏิเสธรับการรักษา
นอกเหนือจากเหตุผลเรื่องการตายดี หรือการตายอย่างมีสติข้างต้น ยังมีเหตุผลทางเศรษฐกิจที่ผู้ป่วย หรือญาติผู้ป่วยควรจะทราบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลเอกชน เนื่องจากในปัจจุบัน ค่าใช้จ่ายในการรักษาตัวในโรงพยาบาลเอกชนมีราคาแพงมาก เพราะโรงพยาบาลก็มุ่งหารายได้จากการดูแลรักษา ทั้งที่ทราบว่าอาจจะไม่สามารถรักษาผู้ป่วยให้หายได้ หรือในบางกรณีที่ผู้ป่วยไม่อยู่ในสภาพที่จะฟื้นคืนสู่สถานะเดิมได้ การให้อาหารทางสายยางก็ดี การต่อท่อช่วยชีวิตต่าง ๆ ก็ดี การอยู่ในห้องไอซียูก็ดี การลงทุนผ่าตัด หรือให้ยาราคาแพง ล้วนมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก
ในหนังสือโรงพยาบาลเอกชนค่ารักษาแพง: ปัญหาและทางออก ที่เขียนโดย น.พ. วิชัย โชควิวัฒน์ (สำนักงานประสานการพัฒนาสังคมสุขภาพ (สปพส), 2558) ได้กล่าวถึงว่ามีผู้ป่วยบางรายที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเกือบ 20 ล้านบาท เพราะโรงพยาบาลเอกชนไม่ยอมให้กลับบ้าน หรือกรณีเมื่อ 20 ปีที่แล้ว มีผู้ป่วยด้านสมอง ซึ่งมีโอกาสหายเพียง 3% แต่โรงพยาบาลเอกชนได้เก็บตัวไว้ และในที่สุดผู้ป่วยก็เสียชีวิตไปโดยมีค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลเกือบ 400,000 บาท เมื่อ 20 ปีที่แล้ว เงินจำนวนดังกล่าวครอบครัวน่าจะได้นำมาใช้เพื่อประโยชน์สูงสุด
กรณีดังกล่าวข้างต้นมักไม่เกิดกับโรงพยาบาลของรัฐบาล เพราะว่าแพทย์มักจะพูดความจริง และบอกความจริงกับญาติ และอาจให้ผู้ป่วยกลับบ้านก็ได้ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องให้ความรู้เรื่องการดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care) กับทั้งผู้ป่วย ญาติมิตร ผู้เกี่ยวข้องในการรักษาพยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อให้ตระหนักถึงความประสงค์ของผู้ป่วย หรือญาติ และเหตุผลทางสถานะทางการเงินของครอบครัวด้วย
การทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์รับการรักษาทำแบบไหนอย่างไร: ประโยชน์และตัวอย่าง
เอกสารที่จัดทำโดยสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เรื่องความต้องการครั้งสุดท้ายของชีวิต (Living Will) ได้อธิบายประโยชน์ของการทำหนังสือดังกล่าวไว้โดยสรุปว่า
1. จะทำให้แพทย์ และญาติทราบ เป็นการช่วยลดความขัดแย้งระหว่างแพทย์กับญาติในการวางแผนการรักษา เมื่อผู้ป่วยไม่อยู่ในสภาพที่แสดงเจตนาได้
2. ทำให้ผู้ป่วยระยะสุดท้ายไม่ต้องทนทุกข์ทรมานจากการใช้เครื่องมือต่าง ๆ เช่น การเจาะคอ การใส่ท่อช่วยหายใจ การปั๊มที่ช่วยยืดการตายออกไป ซึ่งไม่ช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
3. ทำให้ผู้ป่วยและญาติไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง หรือค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นในการรักษา จนกระทั่งถึงต้องขายทรัพย์สินจนสิ้นเนื้อประดาตัวมาเป็นค่ารักษา
4. เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยมีการสื่อสาร และร่ำลาคนในครอบครัวในขณะที่มีสติสัมปชัญญะอยู่
นอกจากนี้ การทำหนังสือแสดงเจตนายังแบ่งได้เป็น 2 รูปแบบ คือ
1. ผู้ป่วยทำหนังสือแสดงเจตนาด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเขียนหรือพิมพ์ หรือใช้แบบตามตัวอย่างที่กำหนด
2. การแสดงเจตนาด้วยวาจาต่อแพทย์ พยาบาล หรือญาติผู้ใกล้ชิด โดยไม่จำเป็นต้องทำเป็นหนังสือ หรืออาจจะให้ผู้อื่นช่วยเขียนหรือพิมพ์แทน
หนังสือแสดงเจตนานี้ ผู้ทำควรมีอายุเกิน 18 ปี สามารถตัดสินใจด้วยตัวเองได้ และสามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไข หรือระงับยกเลิกได้ตลอดเวลา โดยต้องแจ้งการแก้ไขกับแพทย์ที่เคยได้รับการแจ้งไว้ก่อนแล้ว
ปัจจุบัน ทางราชการได้เผยแพร่ตัวอย่างการทำหนังสือแสดงเจตนาไม่รับการรักษา หรือรับบริการสาธารณสุขตามกฏหมายไว้หลายที่
ผู้สนใจอาจเข้าตรวจสอบจาก เว็บไซต์ www.thailiving.in.th ก็ได้
