Knowledge cover image
12 สิงหาคม 2565
  1. คลังความรู้
  2. การทำพินัยกรรมชีวิต (Living Will) สำคัญอย่างไร

การทำพินัยกรรมชีวิต (Living Will) สำคัญอย่างไร

วางแผนชีวิตความตายอย่างมีสติ


เรื่องโดย ศาสตราจารย์ (พิเศษ) กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์

บทความเรื่องพินัยกรรมชีวิตหรือ Living Will นี้ เขียนขึ้นจากประสบการณ์ของผมเองที่สูญเสียภรรยาไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2558 จุดประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับผู้ที่เจ็บป่วย และ/หรือญาติมิตรของผู้เจ็บป่วย บุคคลากรที่ทำงานกับผู้เจ็บป่วย รวมถึงการวางแผนชีวิตกับความตายที่จะเกิดขึ้น ให้ตายอย่างมีสติทั้งตัวผู้ป่วย และญาติของผู้ป่วย 


พินัยกรรมชีวิต (Living Will) คืออะไร

พินัยกรรมชีวิต (Living Will) หมายถึง หนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยื้อการตายในวาระสุดท้ายของตน หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยได้ (มาตรา 12 ของพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550) ดังนั้น พินัยกรรมชีวิต คือ เอกสารหรือ หนังสือที่เขียนแสดงความปรารถนา หรือเป็นการสื่อสารกับบุคคลในครอบครัว หรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง ให้เข้าใจถึงความต้องการในระยะสุดท้ายของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการเลือกวิธีการรักษาในระยะสุดท้าย การจัดการงานศพ หรืออาจกำหนดเป็นคำสั่งเสีย หรือคำขอสุดท้ายของผู้ป่วยที่ใกล้จะเสียชีวิต เพื่อให้ลูกหลานรักและสามัคคีกัน รวมทั้งบอกเล่าประสบการณ์ให้ลูกหลานฟัง หากไม่ได้ทำเป็นหนังสือ หรือเอกสารก็ควรจะมีกระบวนการพูดคุยถึงเจตนาที่เปิดเผยให้บรรดาญาติมิตรของผู้ป่วยได้รับรู้ มีการสื่อสารระหว่างกันระหว่างผู้ป่วยกับญาติผู้ป่วย เพื่อให้ผู้ป่วยหมดความกังวล ยอมรับความตาย และจากไปอย่างสงบก็ได้ รวมทั้งให้ญาติหรือบุคลากรทางการแพทย์ได้ปฏิบัติตามความประสงค์ของผู้ป่วยเองได้


พินัยกรรมชีวิต จึงไม่ใช่การทำหนังสือเพื่อให้บุคคลที่เจ็บป่วย และไม่สามารถรักษาให้หายได้ จบชีวิตลงเพื่อให้พ้นทุกข์ทรมานที่เรียกว่า (Euthanasia) หรือการุณยฆาต (Mercy killing) ซึ่งทั้งสองเรื่องข้างต้นเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ตามกฎหมายไทย


การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง: ประสบการณ์ของผม

ผมมีประสบการณ์จากการป่วยของภรรยาที่เป็นโรคมะเร็งรังไข่ และมีการแพร่กระจายไปจนกระทั่งเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง และมะเร็งที่ปอด ภายในเวลากว่า 11 ปี การแพร่ของมะเร็งในระยะท้ายไปต่อมน้ำเหลืองและปอดนั้นรวดเร็วมาก ใช้เวลาเพียง 1 ปี ตั้งแต่ทราบว่ามะเร็งมาเยี่ยมเยือน เราทั้งสองได้เอาใจใส่ในการดูแลรักษาสุขภาพกายใจ ปฏิบัติตัวอย่างเต็มที่ และหาวิธีการรักษาด้วยทุกวิถีทางทั้งแพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์ทางเลือก 


ต่อมา แพทย์วินิฉัยว่าโรคได้ลุกลามเข้าสู่ระยะท้าย ซึ่งไม่สามารถรักษาให้หายได้ แต่ผมและครอบครัวก็ยังไม่สิ้นความหวัง จนกระทั่งเดือนสุดท้าย จึงตกลงเลือกแนวทางการดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care) ผมมาตระหนักว่า การดูแลแบบ Palliative Care ของผมยังไม่ครบถ้วนนัก เนื่องจากขาดความรู้และประสบการณ์ แม้ตัวผมและภรรยาต่างได้เคยเข้าร่วมรับการอมรมปฏิบัติมรณานุสติกับท่านพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล ด้วยความกรุณาของคุณหญิงจำนงศรี หาญเจนลักษณ์ เมื่อภรรยาป่วยเป็นมะเร็งรอบ 2 อีกทั้งภรรยาผมได้ทำ Living Will ตามแบบเพื่อปฏิเสธการรักษาเพียงเพื่อยื้อชีวิต


แต่สิ่งที่ผมค้างคาใจว่าเราไม่ได้ทำคือ การพูดคุยกันอย่างเปิดอก การกล่าวลากันอย่างจริงจัง ยังมีอะไรไหมที่เป็นความปรารถนาของเธอ แต่เธอไม่ได้บอกผม เพราะตลอดเวลาหลายปีดังกล่าว เรามีความหวังลึก ๆ ว่า เราจะมีชีวิตอยู่ด้วยกันนานกว่านี้ หรือรอให้ลูกทั้งสองเติบใหญ่เป็นฝั่งฝาก่อน แต่ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเหลือเกิน แม้กระทั่งวาระสุดท้ายก็ไม่ได้เตรียมการอะไรให้สมบูรณ์


ผมไม่อยากให้ผู้อ่านมีสภาพเดียวกับผม จึงอยากแนะนำให้ท่านอ่านหนังสือที่ชื่อว่า “ญาติจะช่วยดูแลผู้ป่วยมะเร็งอย่างไร ให้ชีวิตมีคุณค่าในเวลาที่เหลืออยู่” เขียนโดย ศาสตราจารย์แสวง บุญเฉลิมวิภาส (สำนักพิมพ์สายธาร, 2558) ท่านเขียนจากประสบการณ์จริงในการดูแลน้องสาวของท่าน เธอเป็นมะเร็งรังไข่เช่นเดียวกับภรรยาผม มีชีวิตอยู่กับความเจ็บป่วยใกล้เคียงกันคือ ประมาณ 10 ปี น้องสาวอาจารย์เสียชีวิตประมาณวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2558 ส่วนภรรยาผมเสียชีวิตวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2558 หนังสือเล่มนี้จะทำให้ท่านผู้อ่านเข้าใจถึงกระบวนการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งได้อย่างลึกซึ้ง พร้อมตัวอย่างพินัยกรรมชีวิต 


ผมยังเสียดายว่า ในตอนที่ภรรยาผมป่วยหนัก ผมไม่ได้มีโอกาสได้พูดคุยกับอาจารย์แสวง และอ่านหนังสือเล่มนี้ ความจริงคือ ผมไม่ได้เข้าใจลักษณะอาการเจ็บป่วย และวิธีการดูแลรักษา ตลอดจนการสื่อสารในการบอกความจริงเลย และหนังสือเล่มนี้ได้ระบุทุกสิ่งไว้ตรงกับที่เกิดขึ้นกับภรรยาและผมเกือบทั้งหมด


ผมเชื่อว่าหากท่านผู้อ่านได้อ่านหนังสือเล่มนี้ โดยเฉพาะผู้ที่มีญาติป่วยเป็นมะเร็งหรือ เป็นผู้ป่วยโรคมะเร็งเอง จะได้เตรียมตัวรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น และสามารถพบกับความตาย หรือวาระสุดท้ายได้อย่างมีสติ โดยบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งสอง หรือสามฝ่าย จะได้พยายามหาโอกาสพูดคุย สื่อสาร และสะสางข้อข้องใจต่าง ๆ พร้อมทั้งการแสดงเจตนาให้จัดการเรื่องต่าง ๆ ให้เสร็จสมบูรณ์ ไม่ต้องพะว้าพะวงอีกต่อไป หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่บอกเล่าความจริง ให้ความรู้ ความเข้าใจ และแนวทางปฏิบัติที่ทำได้ เพื่อผู้ป่วยและญาติผู้ป่วยหนัก ได้จัดทำพินัยกรรมชีวิตได้ถูกต้องครบถ้วน แม้เรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่ยากลำบากก็ตาม


ถ้าเราเลือกได้เราควรเลือกที่จะตายดี: ตายแบบไหนที่จะเรียกว่าตายดี

ในหนังสือปทานุกรมแห่งความตาย (ดูปทานุกรมความตาย: รวมคำและความหมายเพื่อชีวิตที่ดีและความตายอย่างสงบ เครือข่ายพุทธิกา 2558) ระบุการตายดีไว้ 12 ข้อ ได้แก่

1. การตายที่ผู้ตายยอมรับได้พร้อมที่จะจากไป

2. เป็นการตายอย่างมีสติ

3. ทราบว่าความตายจะมาถึง และเข้าใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

4. ได้รับการปฏิบัติอย่างสมศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ และมีความเป็นส่วนตัว

5. ได้รับข้อมูลและการรักษาจากผู้เชี่ยวชาญต่าง ๆ ตามความจำเป็น

6. ได้รับการดูแลบรรเทาอาการปวดและอาการทางกายอื่น ๆ เป็นต้น

7. สามารถเลือกได้ว่าจะตายที่ไหน (ที่บ้าน หรือโรงพยาบาล)

8. ได้รับการดูแลทางอารมณ์และจิตวิญญาณตามต้องการ

9. สามารถเลือกได้ว่าควรมีใครอยู่ด้วยในวาระสุดท้ายของชีวิต

10. สามารถแสดงเจตนาล่วงหน้าได้ว่า ต้องการได้รับการปฏิบัติอย่างไรในวาระสุดท้าย (Advance Direction)

11. มีเวลากล่าวลาบุคคลที่ตนเองรัก สะสางสิ่งที่คั่งค้างในใจ

12. สามารถจากไปอย่างสงบเมื่อถึงเวลา ไม่ถูกเหนี่ยวรั้ง หรือยืดชีวิตโดยไร้ประโยชน์


ดังนั้น การแสดงเจตนาล่วงหน้าว่า ควรได้รับการปฏิบัติอย่างไรในวาระสุดท้าย การกล่าวลาบุคคลที่ตนเองรัก และสะสางสิ่งที่ค้างคาในใจ จึงเป็นเรื่องที่ควรกระทำ และเป็นสิทธิของผู้ป่วยที่จะเลือกว่า จะเตรียมตัวรับกับความตายอย่างไร เป็นการให้โอกาสผู้ป่วยได้ตายดี และเป็นไปตามเจตนารมณ์ของผู้ป่วย ซึ่งทั้งหมดสามารถทำได้ในหนังสือแสดงเจตนาไม่รับการรักษาเพื่อรับความตายได้อย่างมีสติ เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะสำหรับผู้ป่วย ญาติผู้ป่วยระยะสุดท้าย หรือผู้ที่เป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ 


ความตายเป็นเรื่องที่ทุกคนหนีไม่พ้น เรามาเตรียมตัวตายอย่างมีสติกันเถอะครับ และเพราะมันเป็นเรื่องยาก จึงควรเตรียมแต่เนิ่น ๆ เพื่อความไม่ประมาท


ทำไมเราถึงต้องทำหนังสือปฏิเสธรับการรักษา

นอกเหนือจากเหตุผลเรื่องการตายดี หรือการตายอย่างมีสติข้างต้น ยังมีเหตุผลทางเศรษฐกิจที่ผู้ป่วย หรือญาติผู้ป่วยควรจะทราบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลเอกชน เนื่องจากในปัจจุบัน ค่าใช้จ่ายในการรักษาตัวในโรงพยาบาลเอกชนมีราคาแพงมาก เพราะโรงพยาบาลก็มุ่งหารายได้จากการดูแลรักษา ทั้งที่ทราบว่าอาจจะไม่สามารถรักษาผู้ป่วยให้หายได้ หรือในบางกรณีที่ผู้ป่วยไม่อยู่ในสภาพที่จะฟื้นคืนสู่สถานะเดิมได้ การให้อาหารทางสายยางก็ดี การต่อท่อช่วยชีวิตต่าง ๆ ก็ดี การอยู่ในห้องไอซียูก็ดี การลงทุนผ่าตัด หรือให้ยาราคาแพง ล้วนมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก 

ในหนังสือโรงพยาบาลเอกชนค่ารักษาแพง: ปัญหาและทางออก ที่เขียนโดย น.พ. วิชัย โชควิวัฒน์ (สำนักงานประสานการพัฒนาสังคมสุขภาพ (สปพส), 2558) ได้กล่าวถึงว่ามีผู้ป่วยบางรายที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเกือบ 20 ล้านบาท เพราะโรงพยาบาลเอกชนไม่ยอมให้กลับบ้าน หรือกรณีเมื่อ 20 ปีที่แล้ว มีผู้ป่วยด้านสมอง ซึ่งมีโอกาสหายเพียง 3% แต่โรงพยาบาลเอกชนได้เก็บตัวไว้ และในที่สุดผู้ป่วยก็เสียชีวิตไปโดยมีค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลเกือบ 400,000 บาท เมื่อ 20 ปีที่แล้ว เงินจำนวนดังกล่าวครอบครัวน่าจะได้นำมาใช้เพื่อประโยชน์สูงสุด 

กรณีดังกล่าวข้างต้นมักไม่เกิดกับโรงพยาบาลของรัฐบาล เพราะว่าแพทย์มักจะพูดความจริง และบอกความจริงกับญาติ และอาจให้ผู้ป่วยกลับบ้านก็ได้ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องให้ความรู้เรื่องการดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care) กับทั้งผู้ป่วย ญาติมิตร ผู้เกี่ยวข้องในการรักษาพยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อให้ตระหนักถึงความประสงค์ของผู้ป่วย หรือญาติ และเหตุผลทางสถานะทางการเงินของครอบครัวด้วย


การทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์รับการรักษาทำแบบไหนอย่างไร: ประโยชน์และตัวอย่าง

เอกสารที่จัดทำโดยสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เรื่องความต้องการครั้งสุดท้ายของชีวิต (Living Will) ได้อธิบายประโยชน์ของการทำหนังสือดังกล่าวไว้โดยสรุปว่า

1. จะทำให้แพทย์ และญาติทราบ เป็นการช่วยลดความขัดแย้งระหว่างแพทย์กับญาติในการวางแผนการรักษา เมื่อผู้ป่วยไม่อยู่ในสภาพที่แสดงเจตนาได้

2. ทำให้ผู้ป่วยระยะสุดท้ายไม่ต้องทนทุกข์ทรมานจากการใช้เครื่องมือต่าง ๆ เช่น การเจาะคอ การใส่ท่อช่วยหายใจ การปั๊มที่ช่วยยืดการตายออกไป ซึ่งไม่ช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

3. ทำให้ผู้ป่วยและญาติไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง หรือค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นในการรักษา จนกระทั่งถึงต้องขายทรัพย์สินจนสิ้นเนื้อประดาตัวมาเป็นค่ารักษา

4. เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยมีการสื่อสาร และร่ำลาคนในครอบครัวในขณะที่มีสติสัมปชัญญะอยู่


นอกจากนี้ การทำหนังสือแสดงเจตนายังแบ่งได้เป็น 2 รูปแบบ คือ

1. ผู้ป่วยทำหนังสือแสดงเจตนาด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเขียนหรือพิมพ์ หรือใช้แบบตามตัวอย่างที่กำหนด

2. การแสดงเจตนาด้วยวาจาต่อแพทย์ พยาบาล หรือญาติผู้ใกล้ชิด โดยไม่จำเป็นต้องทำเป็นหนังสือ หรืออาจจะให้ผู้อื่นช่วยเขียนหรือพิมพ์แทน


หนังสือแสดงเจตนานี้ ผู้ทำควรมีอายุเกิน 18 ปี สามารถตัดสินใจด้วยตัวเองได้ และสามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไข หรือระงับยกเลิกได้ตลอดเวลา โดยต้องแจ้งการแก้ไขกับแพทย์ที่เคยได้รับการแจ้งไว้ก่อนแล้ว 

ปัจจุบัน ทางราชการได้เผยแพร่ตัวอย่างการทำหนังสือแสดงเจตนาไม่รับการรักษา หรือรับบริการสาธารณสุขตามกฏหมายไว้หลายที่


ผู้สนใจอาจเข้าตรวจสอบจาก เว็บไซต์ www.thailiving.in.th ก็ได้



ศาสตราจารย์ (พิเศษ) กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์  avatar image
เรื่องโดยศาสตราจารย์ (พิเศษ) กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ผู้ร่วมก่อตั้ง และประธานคณะกรรมการ ชีวามิตร อดีตประธานกรรมการ บริษัท เบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายเกี่ยวกับสถาบันการเงิน ด้านตลาดทุน การซื้อควบรวมกิจการ การปรับโครงสร้างกิจการ กองทุนส่วนบุคคล การวางแผนภาษีอากร และกฎหมายธุรกิจครอบครัว นักกฎหมายหนึ่งเดียวของไทยที่ได้รับการยกย่องจาก Chambers Asia Pacific เป็น Senior Statesmen ในสาขาตลาดทุน ภาษี การควบรวมกิจการ และการปรับโครงสร้าง และนักกฎหมายไทยคนแรกที่ได้รับยกย่องจากวารสาร Euromoney Publication ให้เป็นนักกฎหมายชั้นนำด้านการปรับโครงสร้างหนี้และล้มละลายระดับโลก (World's Leading Restructuring and Insolvency Lawyer)

COMMENT

ความคิดเห็น 0 รายการ

User avatar image

RELATED

บทความที่เกี่ยวข้อง

ดูทั้งหมด Krungthai ads