Knowledge cover image
28 มิถุนายน 2566
  1. คลังความรู้
  2. เรื่องเล่าของบัตเตอร์

เรื่องเล่าของบัตเตอร์

บันทึกความสุขช่วงสุดท้ายก่อนวันลาจากของบัตเตอร์ สัตว์เลี้ยงที่เป็นสมาชิกสำคัญของครอบครัว


เรื่องโดย ขจรฤทธิ์ รักษา

ในสมุดลงทะเบียนการฉีดวัคซีนนั้นระบุว่า บัตเตอร์เกิดเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2553 ปีนั้นลูกสาวอายุได้ 17 ปีกำลังเป็นวัยรุ่นเรียนอยู่ชั้น ม.6 ใกล้จะจบมัธยมตอนปลาย


จำได้ว่า บ้านเราเลี้ยงน้องหมามาตลอดตั้งแต่ลูกยังเล็กๆ เพิ่งเข้าเรียนอนุบาล รุ่นพี่นักเขียนคนหนึ่งอุ้มตัวแรกมาฝากเป็นของขวัญ ลูกสาวหลงรักทันที และผูกพันเหมือนกับน้องแท้ ๆ คนหนึ่ง สายไหมอยู่กับเราหลายปี จนกระทั่งถึงวาระสุดท้าย ตอนสายไหมจากไปนั้นร้องไห้กันทั้งบ้าน ลูกสาวซึมไปเป็นเดือน ไม่พูดไม่จา และปลีกตัวเหงา ๆ อยู่แต่ในห้อง 


จนกระทั่งวันหนึ่ง ร้องขึ้นว่า “บ้านเราขาดหมาไม่ได้” เธอจึงเสิร์ชหาน้องหมาตัวใหม่จากอินเตอร์เน็ต พบว่ามีครอบครัวหนึ่งอยู่แถวไทรน้อย กำลังหาบ้านใหม่ให้น้องหมาตัวเล็ก ๆ เพิ่งคลอดมาได้สองเดือน ลูกสาวเป็นคนจัดการโทรไปหา สอบถามจนได้ความว่าเขาอยู่ตรงจุดไหน จะให้เราไปรับได้เมื่อไร จำได้ว่าหลังจากที่นัดหมายกันเป็นที่เรียบร้อย ผมเป็นคนขับรถ ลูกนั่งหน้า แม่นั่งที่เบาะหลัง เรารู้สึกตื่นเต้นมากที่จะได้สมาชิกใหม่มาร่วมบ้าน ต่างก็พูดกันว่าต่อไปนี้จะมีน้องแล้ว จะไม่เงียบเหงาอีก กลับจากโรงเรียนจะได้รู้สึกว่ามีคนรอพร้อมที่จะเล่นด้วย ลูกว่าตั้งแต่สายไหมจากไป ตัวเองเหมือนกับจะเป็นโรคซึมเศร้า ใจนั้นคิดถึง ห่วงหา อาวรณ์ เผลอไม่ได้จิตตก นอนก็ไม่ค่อยจะหลับ ผมนั้นไม่ได้พูดอะไรมาก แต่รู้สึกว่าตัวเองมีอาการเดียวกับที่ลูกพูดทุกอย่าง


บ้านที่เราไปรับน้องหมาตัวใหม่มาเลี้ยงนั้น เป็นครอบครัวอบอุ่น มีพ่อแม่ลูกเหมือนกับเรา เมื่อจอดรถแล้วเขาก็เชิญเราเข้าไปในบ้าน พูดกับลูกสาวว่า ชอบตัวไหนก็อุ้มไปได้เลยนะคะ ลูกสาวนั่งบนพื้นบ้านยังไม่ทันเรียบร้อยก็มีน้องหมาน้อยตัวหนึ่งขนสีน้ำตาลวิ่งหน้าตั้งมาหาแล้วกระโดดขึ้นตักเลย ลูกก็พูดออกมาทันทีเหมือนกันว่า หนูเอาตัวนี้ ลูกว่า เขาเป็นคนเลือกเรา และเราก็ไม่จำเป็นต้องปฏิเสธเขา


วันแรกที่รับมาบ้าน เราแข่งกันตั้งชื่อกันอย่างสนุก แต่ลูกบอกว่า น้องของหนู หนูต้องตั้งชื่อเอง พ่อซึ่งมีปากเสียงน้อยที่สุดในบ้านก็ได้แต่พยักหน้า ลูกว่า เขาชื่อ “บัตเตอร์” เพราะหน้าตาเขาหล่อ และหอมเหมือนเนย



วันแรกที่บัตเตอร์มาอยู่บ้านเรา ดูตื่น ๆ ขี้กลัว ตัวเขาเล็กเท่ากำปั้น ผมชอบเอาไปนั่งบนชั้นหนังสือแล้วถ่ายรูป บางทีก็เอาไปวางบนโต๊ะทำงานแล้วก็ถ่ายรูป ผมชอบเล่นกล้อง บัตเตอร์จึงมีรูปเก็บไว้ในแฟ้มแทบทุกวัน จนกระทั่งเขาเรียนรู้ด้วยตัวเองว่า เมื่อพ่อหยิบกล้องออกมาจากชั้นเขาก็เตรียมตัวพร้อมที่จะเป็นนายแบบให้ ตอนแรกก็ยิ้มไม่ค่อยเป็น ชอบทำหน้ามึน แต่ตอนหลัง เราบอกว่ายิ้มหน่อยสิครับ ยิ้ม แล้วเขาก็ยิ้มให้กล้องอย่างเต็มใจ


บ้านเราเป็นสำนักพิมพ์ มีนักเขียน นักอ่านแวะเวียนมาแทบไม่ขาดสาย คนที่ชอบน้องหมา ก็มักจะได้อุ้มบัตเตอร์ขึ้นแนบอกโดยมีผมเป็นช่างภาพ และทุกภาพก็จะเห็นบัตเตอร์ยิ้มหล่ออย่างอารมณ์ดี เราจึงหลงใหลในความแสนรู้ของเขาตั้งแต่บัดนั้น


ช่วงเดือนแรก ๆ ลูกสาวแทบจะไม่ห่างจากบัตเตอร์เลย ไปโรงเรียนตอนเช้า แม่จะขับรถไปส่งพร้อมบัตเตอร์ ตอนเย็นผมเป็นคนขับรถไปรับพร้อมบัตเตอร์เหมือนกัน ลูกจะดีใจมากที่เห็นบัตเตอร์มารับตอนโรงเรียนเลิก เขาจะกอดกัน คุยกัน หยอกล้อกันเป็นที่ครึกครื้น บางทีลูกก็เจื้อยแจ้วเล่าเรื่องต่าง ๆให้บัตเตอร์ฟัง ตกกลางคืนหลังจากเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เรียบร้อย ลูกก็จะเป็นคนอุ้มบัตเตอร์เข้านอน มีอยู่คืนหนึ่งได้ยินเสียงร้องดัง ป๊า หมาหนูหาย ช่วยหาหน่อย เราสองคนรีบออกจากห้องตัวเอง เปิดประตูเข้าไปในห้องลูก และช่วยกันค้นหา ปรากฏว่า บัตเตอร์ไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่นอนหลับสนิทอยู่ในกองผ้าห่มอีกมุมหนึ่งของที่นอน ลูกว่า ตอนหัวค่ำยังนอนหนุนหมอนกันอยู่ดี ๆ ตั้งแต่นั้นมาก็จำได้อีกอย่างว่า บัตเตอร์ไม่ชอบนอนเสมอกับคน เขามักจะเลื่อนตัวเองลงไปนอนที่ปลายเตียงทุกคืนจนกระทั่งถึงวาระสุดท้าย


ต้นปี 2565 ลูกสาวต้องไปเรียนต่อยังต่างประเทศ การที่จะต้องอยู่ห่างกับน้องชายที่ชื่อบัตเตอร์นั้นทำความปวดร้าวใจให้แก่ลูกมาก เธอบ่นคิดถึง กอดกันแล้วกอดกันอีกกว่าจะตัดสินใจเคลื่อนรถออกจากบ้านได้ เราไปส่งลูกสาวที่สนามบิน ลูกว่าให้เรารีบกลับไปดูแลน้องแทนหนูด้วย ส่งรูปให้หนูดูทุกวันนะ ปีนั้นบัตเตอร์อายุได้11 ปี ยังคงแข็งแรง และคงความฉลาดเฉลียวน่ารักไม่เคยเปลี่ยนแปลง เขายังคงทำหน้าที่ดูแลเราสองคนอย่างดี ไม่เคยห่างจากสายตา แม่ทำอะไร ลุกไปไหน เขาจะต้องเดินไปสำรวจให้ก่อน เข้าครัว เข้าโกดัง เขาก็ต้องวิ่งเข้าไปล่วงหน้า มีงู มีคางคก มีสัตว์เลื้อยคลาน เขาก็จะบอกให้เรารู้ล่วงหน้าทุกครั้ง



เจ็ดปีก่อน สมัยที่ยังอยู่บ้านเก่าบนถนนรัตนาธิเบศร์ เคยมีงูเห่าตัวขนาดข้อมือ ยาวเกือบสองเมตร เลื้อยมาจากคลองน้ำเน่าข้างรั้วเข้ามาซ่อนอยู่ใต้ตู้เย็นในครัว ตอนนั้นเกือบสองทุ่ม แม่เดินไปเปิดตู้เย็น แต่บัตเตอร์เห่าเสียงดัง ทำขนพอง และวิ่งดักหน้าดักหลังกันแม่ไม่ให้เข้าไปในครัว แม่หันมาบอกพ่อว่า สงสัยมีตัวอะไรสักอย่างอยู่ในนั้น ผมเปิดไฟ และก้มดูตามที่บัตเตอร์ชี้เป้า และพบว่ามีงูซุกซ่อนอยู่ สักพักก็เลื้อยออกมาชูแม่เบี้ยขู่ฟ่อ ๆ บัตเตอร์ยิ่งเห่า ทำท่าจะกระโจนเข้าไปฟัดกับงู ผมได้สติ จึงอุ้มเขาออกมาให้แม่กอดไว้ แล้วตัวเองก็หาไม้ไผ่ด้ามยาวไปจัดการกับงูจนเรียบร้อย ครั้งนั้นถือเป็นวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่มาก เราพูดกันว่า ถ้าไม่มีลูกชายอย่างบัตเตอร์ ไม่ใครคนใดคนหนึ่งในบ้าน ต้องโดนงูเห่าเล่นงานแน่ เวลาบัตเตอร์อยากกินอะไร เราก็รีบแย่งกันหามาให้ ลูกว่า เขาเป็นน้องที่มีพระคุณ จึงซื้อขนม “หมาดีใจ”มาให้กินเล่นไม่เคยขาด ขนมยี่ห้อนี้ บัตเตอร์ชอบมากเป็นพิเศษ


เมื่อย้ายมาอยู่บ้านหลังใหม่ที่บางบัวทอง เรามีโกดังเก็บหนังสืออยู่ด้านหลังบ้าน ในโกดังติดไฟสว่างไสวถึงหกดวง แต่ก็ไม่วายมีงูเหลือมตัวขนาดข้อแขนมาแอบอยู่หลังกองหนังสือ เข้าใจว่ามันเข้ามาหากินหนูที่มีอยู่อย่างชุกชุม ผมนั้นแม้จะระวังเรื่องงูเงี้ยวเขี้ยวขอมากเป็นพิเศษ แต่การที่งูเหลือมซ่อนอยู่หลังกองหนังสือนั้น ถึงระแวงยังไงก็ไม่มีทางรู้ได้ เป็นบัตเตอร์อีกเหมือนเดิมที่เข้าไปสำรวจและพบว่ามีงูซุกอยู่ เขาวิ่งมาบอก แล้วก็วิ่งเข้าวิ่งออกให้เรารู้ว่ามีสิ่งแปลกปลอมที่อันตรายซ่อนอยู่ ผมมองหาอยู่ตั้งนานว่าเป็นตัวอะไรกันแน่ ทีแรกนึกว่าคางคกซึ่งเป็นสัตว์อีกชนิดหนึ่งที่บัตเตอร์ไม่ชอบ แต่ก้มหายังไงก็ไม่เจอ บัตเตอร์ก็ยังเห่าไม่หยุด ชี้เป้าให้ผมเข้าไปดูหลังกองหนังสือ สักพักก็เห็นหางงูโผล่ออกมาก่อน ทีแรกก็เข้าใจผิดว่าเป็นหางตุ๊กแก แต่พอเอาไฟฉายส่องดูกลายเป็นงูเหลือมขดตัวนอนนิ่งอยู่ ในท้องป่อง เข้าใจว่าคงกินเข้าไปจนอิ่ม วันก่อนได้ยินว่าแมวคนข้างบ้านหายไป ผมเลยสันนิษฐานว่า ที่อยู่ในท้องน่าจะไม่ใช่หนูแต่เป็นแมวแน่นอน


อุ้มบัตเตอร์มาเก็บไว้ในบ้าน ให้แม่กอดเอาไว้ ผมเข้าไปในโกดัง แล้วก็จัดการงูตัวนั้นจนกระทั่งเรียบร้อย เสร็จแล้วก็โทรไลน์บอกลูกว่า บัตเตอร์ได้สร้างความน่าประทับใจให้พ่ออีกครั้งหนึ่งแล้ว ลูกบอกว่า ถ้าน้องอยากได้อะไรก็จัดการหามาให้เลยนะ ผมว่าคงไม่อยากได้อะไร นอกจากเที่ยว ลูกก็ว่างั้นป๊าขับรถพาน้องเที่ยวเดี๋ยวนี้เลย


การได้นั่งรถเที่ยวเป็นกิจกรรมโปรดที่สุดของบัตเตอร์ เดิมทีเคยชอบให้ใส่สายจูงแล้วพาไปเดินตอนเย็น สมัยอยู่บ้านเก่าก็มักจะจูงเขาไปเดินที่หน้าศาลากลางจังหวัดนนท์ ต่อมาเขาเขียนป้ายว่า “ห้ามนำสุนัขเข้ามาโดยเด็ดขาด” กิจกรรมนี้ก็ต้องเลิกไปโดยปริยาย บางวันก็รู้สึกสงสารเขาเหมือนกัน ตอนที่เดินเล่นกันทุกเย็นนั้น ดูเหมือนเขาจะฉลาดด้วยการดูเวลาจากเข็มนาฬิกาเป็น พอห้าโมงเย็นปุ๊บ เขาจะคาบสายจูงมาให้แล้วใช้สายตาบอกว่า เลิกงานได้แล้วไปเดินเล่นกันเถอะ ผมก็เลยกลายเป็นคนมีวินัยไปด้วย ห้าโมงเย็นเป็นต้องเลิกจากหน้าที่การงานทุกอย่าง พาเขาไปเดินเล่นก่อน สักหนึ่งชั่วโมงแล้วค่อยจูงกลับมาด้วยกัน เขาจะมีความสุขมาก ยิ้มหน้าแป้น ลิ้นสีชมพูห้อยลงมาอย่างสวยงาม


หกปีหลังเราย้ายมาอยู่ในบ้านเดี่ยวที่มีรั้วรอบขอบชิด เขาก็สามารถวิ่งเล่นอยู่ในบ้านได้ โดยที่เราไม่ต้องพาไปเดินนอกบ้านอีก แต่กระนั้นก็ตาม กว่าเขาจะรู้ว่าห้าโมงเย็นไม่ได้ออกนอกบ้านแล้วก็ต้องใช้เวลาทำใจอยู่นานทีเดียว



มีอยู่วันหนึ่ง เขาเห็นผมออกไปซ้อมวิ่งนอกบ้านเป็นประจำ วันหนึ่งเขาร้องตามเหมือนจะไม่ยอมอีกต่อไปแล้ว ผมก็เลยใส่สายจูงพาเขาออกไปวิ่งช้า ๆ ระยะทางสองกิโลเมตร เขาดูเหนื่อยมาก คราวนี้ยิ้มไม่ออก แต่หิวน้ำอย่างหนัก กลับมาถึงบ้านด้วยอาการลิ้นห้อยเกือบถึงอก กินน้ำหมดเป็นถ้วย แล้วก็นอนหอบแฮ่ก ๆ ลูกเห็นอาการน้องชายแล้วถามว่า ป๊าพาน้องไปไหนมา บอกว่าไปวิ่งมาครับ ไกลไหม สองกิโลครับ ลูกร้อง ป๊าอย่าทำอีก น้องเหนื่อยมาก เกิดตายขึ้นมาหนูไม่ยอมเลยนะ ผมก็เลยได้สติ ว่าไม่ควรเอาเขาวิ่งไกลขนาดนั้นอีก แต่ที่น่าขำก็คือ อาทิตย์ต่อมา ผมทำท่าเหมือนจะชวนเขาออกไปวิ่งกันอีกครั้ง เขากลับนอนนิ่ง ทำหน้าเฉย ไม่สนใจไยดีกับกิจกรรมออกกำลังกายแบบนั้นอีก ผมว่า บัตเตอร์คงจะเข็ด ลูกว่า ชวนหนูวิ่งสองกิโลหนูยังโกรธเลย อย่าว่าแต่น้อง 


ลูกสาวห่างบ้านไปได้ปีกว่า บัตเตอร์อายุย่างเข้าสิบสามขวบ เดือนเมษายน 2566 เขามีอาการซึม แม่อุ้มขึ้นรถไปหาหมอประจำที่สนามบินน้ำ หมอสันนิษฐานว่าเขาอาจจะมีอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย ให้ยามากินสองสามชนิดเช่นยาแก้ปวดท้อง ยาช่วยย่อย บัตเตอร์กลับมาบ้านก็ดูปกติดีทุกอย่าง ตอนนั้นเราเริ่มไม่ค่อยมั่นใจแล้วว่า เขาจะอยู่กับเราไปได้อีกนานแค่ไหน เริ่มพูดกันว่า บัตเตอร์แก่มากแล้ว เขาไม่ค่อยกระฉับกระเฉงเหมือนก่อน บางวันก็ขึ้นบันไดเองไม่ได้ บางครั้งก็กระโดดขึ้นเตียงไม่สำเร็จ เราก็ต้องอุ้มเขาขึ้นบันได และช่วยยกเขาขึ้นเตียงนอน แต่ก็มีบางช่วงที่เขาดูกระฉับกระเฉงวิ่งขึ้นวิ่งลงบันไดราวกับตัวเองเป็นเด็กเล็ก ๆ เราก็พูดว่า น่าแปลกใจที่บัตเตอร์เหมือนจะกลับมาเป็นหนุ่มอีกหน


ลูกสาวเขียนข้อความมาทางกรุ๊ปไลน์ทุกวัน ถามถึงแต่บัตเตอร์ และบอกว่าหนูไปดูดวงมาแล้วว่า บัตเตอร์จะอยู่ได้อีกนาน และรอจนกว่าหนูจะกลับบ้าน เราได้ยินก็รู้สึกสบายใจ และภาวนาว่าให้เขาอยู่ไปนาน ๆ จากข้อมูลที่เราค้นคว้าพบว่า พุดเดิ้ลบางตัวนั้นมีอายุยืนยาวไป 17 ปี เราก็หวังว่า บัตเตอร์คงจะอยู่ได้ไม่น้อยไปกว่านั้น


วันที่ 10 พฤษภาคม 2566 บัตเตอร์มีอาการซึมอีกครั้ง เขานอนหมอบอยู่บนพรมอย่างเงียบ ๆ ไม่ยอมกินไม่ยอมเคลื่อนไหว นอกจากลุกไปอึ ไปฉี่และไปกินน้ำแล้ว เขาแทบไม่ขยับตัว แม่จึงขับรถพาหาหมอประจำ หมอบอกว่าอาจจะต้องแอดมิด ขอให้บัตเตอร์อยู่ที่คลินิกก่อน ตอนหกโมงเย็น หมอโทรเข้ามาบอกว่าให้กลับไปรับบัตเตอร์ที่คลินิก เขามีอาการเหงือกซีด ปากซีด หมอว่า เขาอาจจะมีเลือดไหลอยู่ตรงไหนสักแห่ง ให้เรามารับเพื่อพาไปตรวจที่โรงพยาบาล และหมอก็แนะนำโรงพยาบาลเอกชนซึ่งอยู่แถวสะพานพระนั่งเกล้า พร้อมเขียนใบส่งตัวให้เรียบร้อย


เราไปรับบัตเตอร์ที่คลินิก ตอนนั้นแม้เขาไม่มีอาการดีใจให้เราเห็นอีก ดูเขาซึม นิ่งและอ่อนเพลียมาก แม่อุ้มขึ้นรถ เขานอนแน่นิ่งอยู่บนตัก ผมขับมาถึงโรงพยาบาลตอนสองทุ่ม หมอหนุ่มเป็นเจ้าของไข้ พยาบาลรับบัตเตอร์ไปตรวจในห้อง และพบว่า เขามีเนื้อร้ายก้อนโตอยู่บริเวณม้ามและตับ เนื้อร้ายกำลังขยายตัวออกไปสู่กระเพาะอาหาร และมีอยู่ชิ้นหนึ่งแตก มีเลือดออกในช่องท้อง หมอบอกว่า บัตเตอร์อาจเสียชีวิตวันสองวันนี้ แต่หมอจะฉีดยาห้ามเลือด ให้น้ำเกลือ คืนนี้จำเป็นจะต้องให้นอนที่โรงพยาบาลก่อน


หมอจัดการพันท้องด้วยผ้าสีเขียวเพื่อไม่ให้ท้องกระทบกระเทือน ป้องกันเลือดไหลไม่หยุด จากนั้นก็ฉีดยาห้ามเลือด อุ้มเขาเข้าไปนอนในตู้ ดูเหมือนเขาจะอ่อนแรง หายใจช้า ๆ ตาปรือเหมือนจะหลับแหล่มิลับแหล่


เรากลับบ้านด้วยใจคอไม่ดี ส่งข้อความบอกลูก เล่าอาการของน้องให้ฟัง ลูกสาวยังไม่นอนก็โทรศัพท์กลับมาคุยกับแม่ น้ำเสียงร้อนรนด้วยความห่วงใย และสรุปกันว่า ยังไงก็ต้องทำใจ น้องอายุมาก เขาอยู่ดูแลเรามานานพอแล้ว พูดจบก็อดไม่ได้ที่ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา


วันต่อมา เราไปเยี่ยมบัตเตอร์ในกรงผู้ป่วย ทันทีที่เห็นหน้าเราเขาตะกุยตะกายเพื่อจะออกมาหาเรา ผมเปิดกรงแล้วเอาเขามากอดพร้อมทั้งสายน้ำเกลือ นั่งขัดสมาธิให้เขานั่งตัก ลูบหัวเขาและพูดกับเขา บัตเตอร์ดีใจมาก ทั้งดึงแขนให้กอด ทั้งร้องครางหงิง ๆ นึกถึงวันที่เขาขึ้นเตียงที่โรงพยาบาลแล้วดึงแขนแม่เอาไว้ไม่ยอมให้แม่กลับแล้วใจหายอย่างบอกไม่ถูก



สักพักหมอหนุ่มก็เดินเข้ามา อธิบายว่า ก้อนมะเร็งขยายไปทั่วท้อง วิธีรักษาคือผ่าตัด แต่ด้วยที่เขามีอายุมากก็ไม่แน่ใจว่าจะรอดหรือไม่ และยืนยันว่า เขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ไม่เกินหนึ่งเดือน เขาอาจจะหลับไปตอนไหนก็ได้ หมอถามว่า จะให้เขาอยู่ที่โรงพยาบาลต่อ หรือว่าจะรับไปดูแลที่บ้าน เราตอบพร้อมกันว่าที่บ้าน หมอจึงจัดยามาให้สามถุงคือยาห้ามเลือด ยาฆ่าเชื้อ และยาบำรุงเลือด ให้กินวันละสามครั้งก่อนอาหาร


สามทุ่ม เราอุ้มเขาขึ้นรถกลับมาบ้าน เขาอยู่ในชุดผู้ป่วย มีผ้าสีเขียวรัดท้องไว้แน่น เมื่อถึงบ้าน อุ้มเขาลงจากรถ และปล่อยให้เขาเดินไปฉี่ ปรากฏว่า เขามีอาการปกติเหมือนไม่เป็นอะไร เดินฉี่รอบบ้าน ท่าทางมีความสุขที่สุดที่ได้กลับมาบ้านครั้งนี้ เขายิ้ม และเอาแต่เดินดมโน่นดมนี่แทบจะไม่หยุดพัก จนเราต้องบอกให้เข้าบ้านได้แล้ว เขาเข้ามากินน้ำในชามสีส้มของเขาจนอิ่ม สักพักเราก็อุ้มขึ้นชั้นบน วางลงบนเตียง และนอนหลับไปด้วยกัน


ตอนเช้า เขาตื่นเกือบหกโมง ผมอุ้มเขาลงมาปล่อยที่สนามหญ้าหน้าบ้านให้เขาฉี่ เขาเดินไปอึที่ต้นมะนาว และก็เดินวนรอบบ้าน สาย ๆ แม่ลงมา เขาเดินไปหามะนาว คาบมาให้แม่หนึ่งลูก เป็นเรื่องที่เขาทำทุกวันแทบไม่เคยขาด เช้าขึ้นมาก็ต้องไปคาบมะนาวมาให้แม่ก่อนอื่นใด ถ้าแม่ไม่เอาเก็บไว้ เขาจะคาบเล่นอยู่อย่างนั้นทั้งวัน


ตั้งแต่วันนั้น เขาแทบไม่กินอะไรเลย ขนม “หมาดีใจ”ที่แสนโปรดก็ไม่ยอมกินอีก ผมจึงต้องมีหน้าที่ไปซื้อโจ๊กในตลาด เนื้อหมู ตับ ไส้ ก็ตักมาฉีกแบ่งให้เขากิน พอเขาชอบ กินจนหมด เราก็ไปหามาอีก ปรากฏว่า ไม่ชอบแล้ว ต้องหาไก่ย่าง หมูแดง หมูสับ หรืออย่างอื่นมาป้อนให้เขากินแทน สลับกันไปอย่างนี้เรื่อย ๆ หมอบอกว่าตอนนี้อะไรที่เขากินได้หรือชอบกินก็ให้กินได้เต็มที่ รู้ทั้งรู้ว่าเขากินอะไรไม่ค่อยได้ เพราะก้อนมะเร็งไปเบียดกระเพาะอาหาร แต่เราก็ยังพยายามป้อนให้เขา มีคนที่ติดตามเรื่องราวอาการป่วยของบัตเตอร์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวของผมแนะนำมาว่าให้ซื้ออาหารเหลวสำหรับน้องหมาป่วย ให้ป้อนแบรนด์ซุปไก่ด้วยไซริงค์ เพื่อให้เขามีเรี่ยวแรง เราก็ทำทุกอย่าง ตั้งแต่วันที่เขาออกจากโรงพยาบาล ผมเขียนเรื่องเขาลงเฟซบุ๊คทุกวันเช่นกัน


แม่ชอบพูดว่า "บัตเตอร์นี่นะ ไม่กินสามสี่วันก็อยู่ได้ แต่ถ้าไม่ได้นั่งรถเที่ยวสักวันนี่ไม่ได้เลย" ทุกบ่ายเขารู้ว่าต้องได้ออกนอกบ้าน เขาจะจ้องเราตาแทบไม่กระพริบ พอทำท่าจะปิดประตูหน้า ประตูหลัง ปิดไฟ ปิดแอร์ เขาก็จะลุกขึ้นเปลี่ยนจากนอนซมกลายมาเป็นอีกคนหนึ่งทันที ดูตื่นเต้น แข็งแรง ลุกลี้ลุกลน เห่าเสียงดังบอกให้รู้ว่า จะได้ไปเที่ยวแล้ว เขาจะเดินออกไปรอที่ประตูรถ แล้วเห่าเรียกให้เปิด เขาจะได้ขึ้นไปนั่งรอ ในรถนั้นออกจะร้อน แต่เขาก็ไม่หวั่น จนเราต้องไปสตาร์ทรถและเปิดแอร์ดักไว้ เขาจะนั่งรอแบบกระสับกระส่าย บางทีก็ข้ามไปยังฝั่งคนขับ ยืนจับพวงมาลัยไว้ เหมือนว่าอยากจะขับออกไปเองให้รู้แล้วรู้รอด เราก็ต้องรีบ เปิดประตูรั้ว เอาของขึ้นรถ แล้วก็ขับออกไปชิดขอบทาง อ้อมมาปิดประตูรั้ว เขากลับมานั่งเบาะหลังที่ประจำ และมักจะนั่งบนตักแม่ มองออกไปนอกหน้าต่างยิ้มจนลิ้นห้อยเกือบถึงอก


ไปเที่ยวนอกบ้าน ใช้เวลาประมาณสี่สิบห้านาที ส่งของเสร็จ ก็จะแวะซื้อกาแฟคนละแก้ว แม่เข้าไปซื้อ พ่อก็จูงเดินรอบ ๆ ร้านกาแฟ เขาชอบบรรยากาศช่วงนี้มาก เดินดมต้นไม้ กิ่งไม้ ใบไม้ และหยุดทักทายกับผู้คน เขาเป็นมิตร ไม่เคยแฮ่ใส่ใคร ยินดีให้กอด ยินดีให้อุ้ม แต่ช่วงหลังเราจะบอกทุกคนว่าอุ้มไม่ได้แล้วครับ เขาปวดท้อง แต่กอดได้ ลูบหัวได้ เขาชอบมากครับ


เดินเล่นอยู่ในบริเวณร้านกาแฟจนแม่หิ้วของออกมา เขาก็เดินตามไปที่รถ รอให้เปิดประตู และทำท่าจะกระโดดเองด้วยความเคยชิน ต้องร้องว่า "หยุด" เขาก็จะหยุดทันที แล้วเราก็อุ้มเขาขึ้นรถด้วยความทะนุถนอม ขึ้นรถแล้วเขาก็นั่งตักแม่มองวิวทิวทัศน์ระหว่างทางอย่างเบิกบานใจจนกระทั่งถึงบ้าน แม่ก็พูดว่า "ไม่กินไม่เป็นไร แต่ไม่เที่ยวนั้นไม่ได้เลย"


ช่วงนี้เขากินน้อยลงตามลำดับ หมูปิ้ง ไก่ต้ม กินได้ชิ้นสองชิ้นก็อิ่ม เขากินน้ำบ่อย นอนทั้งวัน กลางคืนหายใจหอบ เปลี่ยนท่าบ่อย พลิกไปพลิกมาไม่ค่อยสบายตัว แต่ก็ยังตื่นเช้าเพื่อออกไปฉี่ที่สนามหญ้าเหมือนทุกวัน แม่ว่า "อยู่บ้านเหมือนหมาป่วยเลย แต่ดูรูปตอนออกนอกบ้านสิ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสเหลือเกิน"



วันที่ 27 พฤษภาคม 66 สองทุ่มอุ้มขึ้นรถไปโรงพยาบาล เจอหมอหนุ่มรูปหล่อคนเดิมที่วินิจฉัยว่า บัตเตอร์จะอยู่ได้ไม่เกินสองอาทิตย์ หมอเห็นบัตเตอร์ยิ้มและมีท่าทางร่าเริงปกติ หมอร้องเป็นภาษาอังกฤษว่า "อเมซิ่งมาก เกิดอะไรขึ้นนี่" พยาบาลอุ้มไปชั่งน้ำหนัก เหลือแค่ 6 กิโลกรัม (จากที่เคยชั่งเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว 6.5 กิโลกรัม) หมอให้เข้าห้องตรวจ ใช้กล้องอัลตร้าซาวน์ดูที่ท้อง และก็ร้องด้วยความดีใจอีกว่า "เลือดหยุดไหลแล้ว ไม่มีเลือดอยู่ในช่องท้องอีก" สักพักก็นิ่งไปก่อนพูดต่อว่า "ก้อนมะเร็งนั้นโตขึ้น มันไหลลามออกไปสายเหมือนแม่น้ำแตกสาขา ตอนนี้ขยายไปทั่วท้องทั้งตับ ม้าม กระเพาะ และลำไส้ หมอว่า ต้องเฝ้าระวังอย่าให้เขากระโดด เพราะทันทีที่ก้อนมะเร็งแตก เลือดก็จะไหลอีก และเขาอาจจะไม่รอด...หมอมองไปที่หน้าจอ "แต่ยังไงก็ตามถ้าเขามีอาการซึมให้รีบพามาพบหมอด่วน"


หมอให้ยาห้ามเลือดมากินอีกสองอาทิตย์ และบอกว่า เขาคงกินอะไรไม่ได้มากเหมือนเก่า ตอนนี้อะไรที่เขาชอบก็ให้กินเต็มที่ หรืออาจจะต้องป้อนอาหารเหลวให้เขาบ้าง


เสร็จจากตรวจ บัตเตอร์ออกจากห้อง มาเดินสำรวจรอบ ๆโรงพยาบาล เดินไปที่บริเวณที่มีหญ้าแล้วตะกุยด้วยขาหลังจนหญ้ากระจุย ท่าทางคึกคักมาก เดินดมโน่นดมนี่แทบไม่หยุด เขายิ้ม ร่าเริงเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แถมยังทำท่าจะกระโดดขึ้นรถเองด้วย


ขากลับเราแวะร้านฟาสฟู้ดแถวบางใหญ่ ตอนจูงลงจากรถมีคนมาทักทาย และเขาดูสนุกกับแสงสีเสียงและผู้คนมาก แม่ว่า "ผู้ชายคนนี้ สงสัยชอบเที่ยวกลางคืนด้วย"


เอาเข้านอนสี่ทุ่ม เขาหลับยาวจนกระทั่งหกโมงเช้า ลุกขึ้นมาสะบัดขนจนกระดิ่งที่คอดังกุ๊งกิ๊ง เขายืดเหยียดบิดขี้เกียจอยู่พักใหญ่ แล้วให้อุ้มลงมาข้างล่าง เดินในสนามหญ้า อาการเหมือนไม่ได้ป่วยอะไรแม้แต่นิดเดียว

 

มื้อเที่ยงแบ่งไก่จากข้าวมันไก่ที่ซื้อมาห่อหนึ่งให้เขากินจนหมด (คนกินข้าวเปล่า) อิ่มแล้ว เขาเดินไปกินน้ำแล้วกลับมานอนเลียปากจนหลับคาที่นอน (เวลาเห็นเขากินได้เราก็รู้สึกสบายใจ เขาชอบอะไรก็ให้กินอย่างนั้น) ตอนบ่ายพาขึ้นรถไปเที่ยวร้านกาแฟ ดูเขามีความสุขมาก ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่และนั่งมองออกไปนอกกระจกทั้งขาไปและขากลับ มาถึงบ้านกระโดดลงจากรถเองรีบเข้าบ้านไปกินน้ำในชามแล้วก็นอนหลับต่อ ช่วงหลับ เขาจะหายใจแรง พลิกตัวบ่อย เหมือนไม่ค่อยสบายเนื้อสบายตัว บางครั้งก็ละเมอตัวสั่น ท้องนั้นแข็งเหมือนมีก้อนหินถ่วงอยู่ ไม่กล้าบีบ ไม่กล้าจับ คิดเอาเองว่า น่าจะเป็นก้อนมะเร็งที่บวมโตขึ้นตามวันเวลา ได้แต่ลูบเขาเบา ๆ และนั่งมองเขาหลับแบบกระสับกระส่ายแล้วรู้สึกสงสาร


มื้อเย็นป้อนเนื้ออบให้เขากินสี่ห้าชิ้น เขากินจนอิ่ม แล้วก็เดินออกไปฉี่นอกบ้าน หัวค่ำเผลอตาแป๊บเดียว เขากระโดดขึ้นบันไดไปยืนรอที่หน้าห้องนอน บอกให้รู้ว่าง่วงแล้ว อยากนอน รีบปูพรม เปิดแอร์ให้ เขานอนหลับทันที ตื่นตีหนึ่ง ลุกไปยืนที่ประตูแล้วร้องบอกเบา ๆ ให้รู้ ว่าเขาต้องการจะออกไปฉี่ข้างนอก ต้องลุกจากเตียงมาอุ้มลงไปข้างล่าง เปิดประตูให้เขาออกไปทำธุระส่วนตัว สักพักก็เดินกลับมา อุ้มกลับขึ้นไปนอนที่เดิม เขาหลับสนิทยาวไปถึงหกโมงเช้า ตื่นมาก็ส่งเสียงเบา ๆ ว่าตื่นแล้ว ต้องการลงไปข้างล่าง และออกไปฉี่นอกบ้าน เราก็ต้องลุกตามเขา อุ้มลงบันได เปิดประตู ปล่อยให้เขาอึฉี่ตามสะดวกใจ เสร็จธุระเขาก็กลับมานอนหมอบอยู่ใกล้ ๆ ท่าทางเหมือนหมาป่วยเห็นได้ชัดขึ้น หมอก็เคยบอกว่า เขาจะฉี่บ่อยขึ้นเหมือนผู้ชายสูงวัยที่เป็นโรคต่อมลูกหมากโต (เราก็ต้องเตรียมตัวไว้เช่นเดียวกัน)


เช้าวันต่อมา ซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งจากตลาดมาชุดหนึ่ง ข้าวเหนียวนั้นคนกิน ส่วนหมูปิ้งนั้นเขากินหมดไปสองไม้ อิ่มแล้วก็นอนมองเจ้าของว่าจะเดินไปไหนหรือเปล่า ไม่ว่าจะเข้าครัว เข้าห้องน้ำ เดินไปหยิบหนังสือในโกดัง เขาจะทำหน้าที่ไปอารักขาทันที ไม่มีบกพร่อง จนรู้สึกว่าเขาน่าจะเหนื่อย เราก็เลยลุกเดินเท่าที่จำเป็นจริงๆ


ทุกวันที่เหลือของชีวิต ดูเหมือนเขาจะทำเหมือนเดิมทุกอย่างเพื่อให้เราสองคนสามีภรรยามีความสุข เช่น เดินไปในสนามหญ้าตอนที่แดดเช้าอ่อน ๆ เพื่อจะเป็นนายแบบให้พ่อถ่ายรูป หามะนาวให้แม่ เดินตามเข้าไปสำรวจโกดัง ขึ้นรถไปเที่ยวนอกบ้านในตอนบ่าย แวะร้านกาแฟด้วยกัน ซึ่งเป็นสถานที่โปรดที่สุดของเขาในช่วงปลายของชีวิต ผมพาเขาไปทุกวัน ร้านมีพื้นที่สองข้างให้น้องหมาเดินเล่นได้ มีสนามหญ้าอยู่หย่อมหนึ่ง บัตเตอร์ชอบมาก ผมจะถ่ายคลิปไว้ทุกครั้ง ตอนที่เขาเบิกบาน ดูมีความสุขกับการที่ได้มาเดินอยู่ในสนามเล็ก ๆ แห่งนี้


สามวันต่อมา หมอที่โรงพยาบาลโทรมาให้เรากลับไปเปลี่ยนผ้าพันตัว สองทุ่มของวันนั้น เราอุ้มเขาขึ้นรถไปตรวจอีกรอบ หมออัลตร้าซาวน์ดูที่หน้าท้อง และบอกข่าวดีว่าเลือดหยุดไหลแล้ว บัตเตอร์ไม่จำเป็นต้องเอาผ้ารัดไว้อีก แต่ข่าวร้ายก็ตามมาคือ ก้อนมะเร็งโตขึ้น หมอบอกว่า เขาจะมีชีวิตอีกไม่เกินสองสัปดาห์


วันนั้นเราอุ้มเขากลับบ้านด้วยความรู้สึกเศร้า แต่บัตเตอร์นั้นไม่รู้ชะตาตัวเอง หรืออาจจะรู้แต่เขาก็ไม่แสดงอาการใด ๆ เขามีความสุขมาก ที่ผ้าพันสีเขียวถูกปลดออกจากตัว เขาวิ่งเล่นตามสายจูงเหมือนชีวิตนี้ช่างดีเหลือเกิน เราพาเขาแวะร้านฟาสฟู้ดที่ตลาดบางใหญ่ ให้เขาได้เห็นแสงสี และได้ทักทายกับผู้คน คืนนั้นเขาสนุกสนานและยิ้มเบิกบานอารมณ์ดี จนแม่บอกว่า “บัตเตอร์นี่นะ ชอบเที่ยวกลางคืนด้วยเหมือนคนเลย”


ช่วงอาทิตย์สุดท้าย เราเอาใจใส่เขาอย่างดี ทั้งหาของกินต่าง ๆ ให้ พยายามป้อน พยายามคุย และเขาก็ชอบให้อุ้มให้กอด ไปไหนก็จะเอาเขาติดรถไปด้วย เขาชอบยืนสองขาบนตักแม่ และมองออกไปนอกหน้าต่าง การเที่ยวนอกบ้านนี่ถือเป็นกิจกรรมสุดโปรดเลยก็ว่าได้


ตั้งแต่เขาป่วยครั้งนี้ เราแทบไม่ได้อาบน้ำให้เขาเลย จนคิดว่าได้เวลาแล้ว จึงไลน์ไปถามหมอว่าอาบน้ำให้เขาได้ไหม หมอตอบว่าได้ วันที่ 30 พฤษภาคม ตอนสาย ๆ ผมจึงอาบน้ำให้เขาอย่างดี แปรงขนให้เบา ๆ จนขนฟู หล่อ ตัวหอม เขาก็ชอบ วิ่งสะบัดขนไปมาอย่างรื่นเริง วันนั้น หยิบกล้องมาถ่ายรูปความหล่อของเขาไว้เป็นร้อย ๆ รูป เก็บใส่แฟ้มเอาไว้ แม้ใจข้างหนึ่งจะเชื่อหมอที่ว่าเขาจะอยู่ได้ไม่เกินเดือน ตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคมเป็นต้นมา นี่ก็ปาเข้าไปยี่สิบวันแล้วเขายังไม่เป็นอะไรเลย ใจอีกข้างก็เชื่อว่าปาฏิหาริย์น่าจะมีจริง มะเร็งอาจจะฝ่อไปเอง และเขาก็จะอยู่กับเราต่อไปได้อีกสามหรือสี่ปี


แต่ในความเป็นจริง ปาฏิหาริย์ก็ไม่ค่อยเกิดขึ้นกับใครได้ง่าย ๆ หมออาจสันนิษฐานคลาดเคลื่อน เขาอาจจะอยู่กับเราไปอีกสักเดือนหรือสองเดือน ถือให้เป็นสองเดือนแห่งความสุขก็แล้วกัน อยู่กับวันนี้ให้ดีที่สุด เหมือนที่เคยอ่านจากหนังสือ พระท่านว่า จงอยู่กับปัจจุบันขณะ ความสุขไม่ได้เกิดขึ้นในวันหน้า แต่มันเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ ปัจจุบันนี้ คิดแล้วก็อุ้มเขามากอดและพูดอะไรบางอย่างกับเขา เช่น “รักมากนะลูก ถ้าลูกไม่อยู่ก็ขอให้ไปเกิดเป็นคน เจอหน้ากันก็ทักทายกันนะ บัตเตอร์รู้ไหมว่าป๊ารักเตอร์ที่สุดเลย” เวลาพูดกับน้องหมาก็ไม่ต่างไปจากคนอื่น คือมักจะใช้เสียงสองเป็นหลัก “รักนะครับ รักนะลูก รักมากเลยลูกชายของป๊า” ผมจะวนๆ เวียน ๆ พูดอยู่ด้วยประโยคสั้น ๆ เหล่านี้


กลางคืนวันที่ 30 พฤษภาคม บัตเตอร์กลับมามีอาการเดิมอีก คือนอนนิ่ง ไม่ขยับตัวและซึมหนัก ผมเปิดดูเหงือกพบว่าซีดผิดปกติ ก็เดาได้ว่า ข้างในคงจะมีเลือดไหลอีก จนอีกวันต่อมา เขาไม่ยอมกินอะไรเลยตลอดทั้งวัน


ทุ่มตรง วันที่ 31 พฤษภาคม 2566 แม่อุ้มเขาขึ้นเบาะหลัง ให้เขานั่งตักในท่าเดิม ผมขับรถตรงไปที่โรงพยาบาล หมอหนุ่มคนเดิมมาเป็นเจ้าของไข้ เขาให้พยาบาลชั่งน้ำหนัก น้ำหนักเขาหายไปเกือบครึ่งกิโล หมอเอาเข้าห้องตรวจ ทำการอัลตร้าซาวน์ที่ท้องอีกรอบหนึ่ง และพบว่า เลือดออกจากก้อนมะเร็งจนเต็มช่องท้อง หมอบอกว่า เขาอาจจะไม่ไหวแล้ว แต่หมอก็จะทำการรักษาให้ด้วยการเจาะเลือดที่คั่งออกมา ให้ยาห้ามเลือด และก็ถามว่าจะพากลับบ้านไหม เราก็ตอบเหมือนเดิมว่า เอากลับ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ควรเสียชีวิตในโรงพยาบาล เขาควรได้จากไปในบ้านของเขาพร้อมกับอ้อมกอดของเราทั้งคู่


บัตเตอร์ถูกพันท้องด้วยผ้าสีเขียวอีกครั้งหนึ่ง เสร็จแล้วก็อุ้มเขาขึ้นรถ คราวนี้ขับกันมาด้วยอาการนิ่งเงียบ แม่พูดให้ได้ยินจากเบาะหลังว่า “ดูสิยังจะขอยืนดูนอกหน้าต่างอีก” ผมว่า เขาคงชอบของเขา


เรากลับมาถึงบ้านสองทุ่มกว่า อุ้มเขาขึ้นข้างบน เตรียมตัวนอน หวังว่าอาการของเขาจะดีขึ้นเรื่อย ๆ พรุ่งนี้ก็จะได้พาไปเที่ยวกันอีก แต่สักพักดูเขาไม่สงบ ล้มตัวนอนแล้วลุกขึ้นเดิน สักพักก็ล้มตัวนอนอีก ไม่ถึงนาทีก็ลุกเดินไปทั่วห้อง ผมรู้ว่าเขากระสับกระส่ายหายใจไม่สะดวก เลือดคงออกไปเยอะ แต่ไม่นึกว่าเขากำลังจะตาย


สักพักเขาร้องอิ๊ด บอกด้วยสายตาว่า อยากจะขึ้นเตียงนอน ผมเป็นคนอุ้มและกอดเขาไว้ บอกว่านอนนะลูกนะ เขานอนตะแคงสักพักก็นอนคว่ำ ไม่ถึงนาทีก็ลุกอีก เดินไปรอบ ๆ เตียง แม่นั่งคุกเข่าดูอาการเขาที่ปลายเตียง จนกระทั่งเห็นเขาหอบเหนื่อย และพ่นลมหายใจออกมาทางปาก ผมนึกขึ้นมาได้ที่หมอพูดว่า ถ้าเขาหายใจทางปากดูทรมานจนพ่อแม่ทนไม่ไหว ให้พาเขากลับมาโรงพยาบาล จะได้ให้เขารับออกซิเจน ผมรีบอุ้มขึ้นไว้บนบ่า และบอกแม่ว่าพาเขาไปหาหมอกันดีกว่า ไม่ถึงสามนาที เราก็ขับรถออกจากบ้าน เขานั่งตักแม่ที่เบาะหลัง พอรถเคลื่อนออกไปจากบ้านได้ไม่ถึงร้อยเมตร ได้ยินแม่พูดว่า “บัตเตอร์ปีนขึ้นมาเกาะบ่า และมองออกไปนอกหน้าต่าง” ผมว่าลูบหลังเขาเบาๆ และพูดกับเขาไปเรื่อย ๆ นะ แม่ก็พูดว่า “สนุกไหม ชอบไหม บัตเตอร์ได้เที่ยวอีกแล้วเห็นไหมล่ะ”


รถเคลื่อนออกไปทางถนนรัตนาธิเบศร์ ผมเอี้ยวไปดูทางเบาะหลัง เห็นบัตเตอร์กอดแม่ไว้ ขาหน้าเกาะบ่า ตัวแนบกับอก แม่ลูบหลังเขา ผมคิดว่าคงไม่เป็นอะไร เดี๋ยวถึงโรงพยาบาล เขาก็ได้รับออกซิเจน ถ้าไม่ไหวจะให้หมอฉีดยาแก้ปวดให้สักเข็ม

 

เมื่อผมขับรถมาจอดที่ลานจอดหน้าโรงพยาบาล ดับเครื่องยนต์ แล้วเดินอ้อมมาเปิดประตูหลังเพื่ออุ้มเขาออกจากบ่าแม่ แล้วค่อยอุ้มเข้าไปในโรงพยาบาล แม่บอกว่า “รับลูกเบา ๆ หน่อยนะ”


ทันทีที่ผมสัมผัส ผมพูดว่า เขาได้จากเราไปแล้ว ร่างอ่อนระทวย คอห้อย  ไม่มีสัญญาณชีพจรอีก ผมบอกภรรยาว่า บัตเตอร์ไปแล้ว แต่ไม่ต้องเสียใจนะ เขาได้นั่งรถเที่ยวจนลมหายใจสุดท้าย


ขากลับเรานั่งเงียบกันมาตลอดทาง ใจก็หวนระลึกไปถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ นานาที่เราได้มีประสบการณ์ร่วมกันกับเขา ทั้งหัวเราะ ร้องไห้ ทั้งยามหลับและยามตื่น ทั้งยามกินและยามนอน สิบสามปีที่แสนสุข และมั่นใจว่า ไม่ว่าเราจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกสักกี่ปี ก็จะไม่มีวันลืมเขาแม้แต่วันเดียว


ภาพต่าง ๆ ตั้งแต่เขายังเล็ก ตัวเท่ากำปั้น ทยอยเข้ามาสู่ห้วงคำนึง แล้วน้ำตาก็ค่อย ๆ ไหลลงมาอาบแก้ม


ขจรฤทธิ์ รักษา avatar image
เรื่องโดยขจรฤทธิ์ รักษาผู้คร่ำหวอดอยู่ในแวดวงวรรณกรรมไทยทั้งในฐานะนักเขียน ผู้ก่อตั้งนิตยสาร “ไรเตอร์” และได้รับการประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินร่วมสมัยดีเด่น รางวัลศิลปาธร สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี 2551 ปัจจุบัน เขายังคงมีความสุขกับงานเขียน และเป็นบรรณาธิการสำนักพิมพ์บ้านหนังสือ

COMMENT

ความคิดเห็น 0 รายการ

User avatar image

RELATED

บทความที่เกี่ยวข้อง

ดูทั้งหมด Krungthai ads