- คลังความรู้
- “รอยแผลที่มองไม่เห็น” วิธีเยียวยาจิตใจผู้ดูแลหลังการสูญเสีย
“รอยแผลที่มองไม่เห็น” วิธีเยียวยาจิตใจผู้ดูแลหลังการสูญเสีย
แนวทางเยียวยาจิตใจผู้ดูแลหลังการสูญเสีย ฟื้นฟูตัวเองอย่างเข้าใจและอ่อนโยน
เรื่องโดย ทีม Content ชีวามิตร
เมื่อคนที่เราทุ่มเทดูแลจากไป หลายคนอาจรู้สึกเหมือนสูญเสียส่วนหนึ่งของตนเองไปด้วย ความผูกพันที่เกิดขึ้นจากการดูแลเอาใจใส่ ทั้งความเหนื่อยล้า ความหวัง และความรักที่หล่อหลอมมาอย่างยาวนาน ทำให้การสูญเสียครั้งนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องของความเศร้าเท่านั้น แต่ยังนำมาซึ่งรอยแผลในจิตใจที่มองไม่เห็น
การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายต้องใช้ทั้งแรงกายและใจ จนบางครั้งเราหลงลืมตัวเองไป พอถึงวันที่หน้าที่ของเราสิ้นสุดลง อารมณ์และความรู้สึกที่กดทับไว้ตลอดระยะเวลาการดูแลอาจประดังประดาเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว รู้สึกว่างเปล่า โดดเดี่ยว หรือแม้แต่รู้สึกผิด ทั้งที่พยายามทำดีที่สุดแล้ว
รอยแผลในจิตใจเหล่านี้อาจไม่สามารถลบเลือนไปในชั่วข้ามคืน แต่เราสามารถเยียวยาตัวเองได้ทีละน้อย ด้วยวิธีที่ช่วยให้เราเรียนรู้ ยอมรับ และก้าวข้ามความสูญเสียไปอย่างสงบ ตัวอย่างวิธีการเยียวยาจิตใจผู้ดูแลหลังการสูญเสียมีดังนี้
1. การเขียนเพื่อเยียวยาหัวใจ (Writing to Heal)
“บางครั้งความรู้สึกที่หนักเกินไป อาจต้องการเพียงกระดาษและปากกาเพื่อช่วยรับฟัง”
การเขียนเพื่อแสดงออกทางอารมณ์ (Expressive Writing) เป็นเทคนิคที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง ศาสตราจารย์ James Pennebaker จากมหาวิทยาลัยเท็กซัสพบว่า การเขียนเกี่ยวกับประสบการณ์ที่กระทบจิตใจสามารถช่วยลดความเครียดและช่วยให้ผู้เขียนจัดระเบียบความคิดของตัวเองได้ดีขึ้น
ลองใช้เวลาวันละ 15-20 นาที ติดต่อกัน 3-5 วัน เขียนถึงสิ่งที่อยู่ในใจ ไม่ว่าจะเป็นความเศร้า ความรู้สึกผิด หรือแม้แต่ความโล่งใจที่การดูแลอย่างหนักหน่วงสิ้นสุดลงแล้ว ไม่ต้องกังวลเรื่องไวยากรณ์ หรือว่าตัวเองควรรู้สึกอย่างไร แค่เขียนมันออกมาให้หมด ไม่จำเป็นต้องให้ใครอ่าน ไม่จำเป็นต้องเก็บไว้ ถ้าหลังจากเขียนแล้วรู้สึกว่ามันหนักเกินไป อาจฉีกทิ้งหรือเผาทิ้ง เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการปล่อยวาง
สิ่งสำคัญคือการให้พื้นที่แก่ตัวเองในการเผชิญหน้ากับความรู้สึกโดยไม่ตัดสินตัวเอง การเขียนอาจไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แต่ช่วยให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น และเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันอย่างอ่อนโยน
2. แรงพยุงจากคนรอบข้าง (Social Support)
“คุณไม่จำเป็นต้องผ่านมันไปเพียงลำพัง”
การได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว เพื่อน หรือกลุ่มที่เข้าใจสถานการณ์เดียวกัน เป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการเยียวยาตัวเอง
ให้ครอบครัวเป็นที่พักใจ
อย่ารู้สึกผิดที่ต้องพึ่งพาครอบครัวหรือให้พวกเขาช่วยแบ่งเบาภาระในช่วงเวลาที่ยากลำบาก พวกเขาอาจไม่สามารถเข้าใจทั้งหมดว่าเราผ่านอะไรมาบ้าง แต่ความรักและความห่วงใยของพวกเขาคือสิ่งที่เราสามารถพึ่งพาได้
แบ่งปันความรู้สึกกับเพื่อนที่เข้าใจ
การพูดคุยกับใครสักคนที่พร้อมรับฟังโดยไม่ตัดสิน ช่วยให้เรารู้สึกว่าไม่ได้เผชิญความเศร้าเพียงลำพัง
การเข้าร่วมกลุ่มอาสาสมัคร
กลุ่มที่มีประสบการณ์คล้ายกันสามารถช่วยให้เรารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่เข้าใจ สามารถพูดคุยเกี่ยวกับความสูญเสียได้อย่างเปิดเผยโดยไม่ต้องกังวลว่าใครจะไม่เข้าใจ ในประเทศไทยมีกลุ่มอาสาสมัครหลายแห่งที่ให้การสนับสนุนด้านจิตใจ เช่น เครือข่ายพุทธิกา, I SEE U Contemplative Care และชีวามิตร ผู้ที่สนใจสามารถติดตามข้อมูลหรือติดต่อองค์กรเหล่านี้เพื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้
การเข้าร่วมกลุ่มอาสาสมัครไม่เพียงช่วยให้ผู้ดูแลได้รับการสนับสนุนทางอารมณ์ แต่ยังเป็นโอกาสในการแบ่งปันประสบการณ์และเรียนรู้จากผู้อื่นที่เผชิญกับสถานการณ์คล้ายกัน ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งทางจิตใจและการปรับตัวหลังการสูญเสียได้อย่างมาก
3. ยอมรับความตายด้วยหัวใจที่สงบ
“การยอมรับไม่ได้หมายถึงการลืม แต่คือการเรียนรู้ที่จะอยู่กับความทรงจำอย่างสงบ”
ความตายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ แต่เราสามารถเปลี่ยนมุมมองต่อมันได้ การเรียนรู้ว่าความตายเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรชีวิต ช่วยให้เราปล่อยวางจากความยึดติดและเรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบัน
ลองถามตัวเองว่า
“ฉันสามารถนำบทเรียนจากการดูแลผู้ที่จากไปมาปรับใช้ในชีวิตได้อย่างไร?”
“มีสิ่งใดที่ฉันอยากทำเพื่อเป็นเกียรติแก่เขา (ผู้เสียชีวิต) หรือไม่?”
การตั้งคำถามเหล่านี้ช่วยให้เราไม่จมอยู่กับความสูญเสีย แต่หันมาใช้ชีวิตอย่างมีความหมายมากขึ้น
4. ใช้ศิลปะและดนตรีเป็นเครื่องมือปลอบประโลม
“บางครั้งเสียงเพลงหรือภาพวาด อาจบรรยายความรู้สึกได้ดีกว่าถ้อยคำ”
ศิลปะและดนตรีเป็นภาษาสากลที่สามารถปลอบประโลมจิตใจ ช่วยให้ผู้ดูแลสามารถระบายความรู้สึก และคลายความเศร้าโศกได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้คำพูด การแสดงออกผ่านศิลปะและเสียงดนตรีช่วยให้เราเข้าใจอารมณ์ของตัวเองดีขึ้น และนำพาหัวใจให้ค่อยๆ ฟื้นตัวจากความสูญเสีย
ศิลปะบำบัด (Art Therapy)
การสร้างสรรค์ผลงานศิลปะสามารถเป็นช่องทางที่ปลอดภัยในการระบายความรู้สึกและจัดการกับอารมณ์ที่ซับซ้อน
ตัวอย่างกิจกรรมศิลปะเพื่อเยียวยาจิตใจ:
- การวาดภาพเพื่อแสดงออกทางอารมณ์ – ไม่จำเป็นต้องมีทักษะทางศิลปะ เพียงใช้สีและลายเส้นเป็นตัวแทนอารมณ์ภายใน
- การปั้นดินหรือสร้างงานประดิษฐ์ – การสัมผัสวัสดุและสร้างสิ่งใหม่ช่วยให้จิตใจสงบลงและลดความเครียด
- การทำสมุดภาพความทรงจำ (Memory Scrapbook) – นำรูปภาพ ข้อความ หรือของที่ระลึกเกี่ยวกับผู้ที่จากไปมารวมกันเพื่อสร้างสมุดที่เต็มไปด้วยความรักและความผูกพัน
ในประเทศไทยมีหลายกลุ่มและองค์กรที่จัด Workshop หรือโครงการเกี่ยวกับศิลปะบำบัดเพื่อการเยียวยาจิตใจ ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจได้เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ หากสนใจสามารถค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มหรือโครงการเหล่านี้เพื่อเลือกกิจกรรมที่ตรงกับความต้องการและความเหมาะสมของตนเองได้
ดนตรีบำบัด (Music Therapy)
เสียงดนตรีสามารถช่วยลดความเครียด ปลอบประโลมอารมณ์ และทำให้จิตใจสงบลง การฟังหรือเล่นดนตรีช่วยให้สามารถจัดการกับอารมณ์เศร้าและสร้างความรู้สึกเชื่อมโยงกับผู้ที่จากไป
แนวทางการใช้ดนตรีเพื่อเยียวยาจิตใจ:
- ฟังเพลงที่ช่วยปลอบโยนหัวใจ – เลือกเพลงที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น สงบ หรือมีความหมายเกี่ยวกับความทรงจำที่ดี
- แต่งเพลงหรือเขียนเนื้อร้อง – เป็นการแสดงออกถึงความรู้สึกผ่านถ้อยคำและทำนอง
- เล่นเครื่องดนตรี – การใช้เวลากับเปียโน กีตาร์ หรือเครื่องดนตรีอื่นๆ สามารถช่วยเบี่ยงเบนความสนใจจากความเศร้าและให้จิตใจได้พัก
ในประเทศไทย มีกลุ่มและองค์กรที่จัด Workshop เกี่ยวกับดนตรีบำบัดเพื่อการเยียวยาจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมฟังเพลงร่วมกัน ฝึกเล่นเครื่องดนตรี หรือแต่งเพลงเพื่อถ่ายทอดความรู้สึก หากสนใจ สามารถลองค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมและเลือกเข้าร่วมกิจกรรมที่เหมาะกับตนเองได้ตามความต้องการ
การใช้ศิลปะและดนตรีในพิธีกรรมส่วนตัว
บางครั้งการสร้างพิธีกรรมเล็กๆ ด้วยศิลปะและดนตรีช่วยให้เรารู้สึกเชื่อมโยงกับคนที่จากไป และเพื่อเป็นการรำลึกถึงพวกเขา
ตัวอย่างพิธีกรรมที่ช่วยเยียวยาหัวใจ:
- จุดเทียนและฟังเพลงที่มีความหมาย เพื่อเป็นการรำลึกถึงผู้ที่จากไป
- วาดภาพหรือเขียนข้อความถึงผู้ล่วงลับ แล้วนำไปเก็บไว้ในสมุดบันทึกส่วนตัว
- สร้างเพลย์ลิสต์เพลงพิเศษ ที่สื่อถึงความรักและความคิดถึง
5. ให้สัตว์เลี้ยงช่วยเยียวยาหัวใจ
“ในวันที่เงียบเหงา อ้อมกอดของพวกเขาทำให้เรารู้ว่าเรายังเป็นที่รัก”
สัตว์เลี้ยงไม่เพียงแต่เป็นเพื่อนที่น่ารักในยามที่เราต้องการการปลอบโยนเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการช่วยสนับสนุนจิตใจและอารมณ์ของผู้ที่กำลังเผชิญกับความสูญเสียได้ในหลายด้าน
ลดความเหงาและสร้างความรู้สึกเชื่อมโยง
เมื่อเราสูญเสียคนสำคัญไป ความรู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวมักจะตามมา การมีสัตว์เลี้ยงสามารถช่วยเติมเต็มช่องว่างทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นได้ สัตว์เลี้ยงมักจะเป็นเพื่อนที่พร้อมให้ความรักและการเอาใจใส่ การสัมผัสและการกอดสัตว์เลี้ยงยังสามารถกระตุ้นการหลั่ง Oxytocin หรือ “ฮอร์โมนแห่งความรัก” ซึ่งช่วยสร้างความผูกพันและลดความเครียดได้อย่างมาก
กระตุ้นให้เกิดกิจวัตรใหม่
การสูญเสียอาจทำให้ผู้คนรู้สึกสิ้นหวังและขาดเป้าหมายในชีวิต แต่การดูแลสัตว์เลี้ยงทำให้พวกเขามีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ เช่น การให้อาหาร การอาบน้ำ หรือการพาสัตว์เลี้ยงไปเดินเล่น กิจกรรมเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้ที่สูญเสียมีแบบแผนในชีวิตประจำวันเท่านั้น แต่ยังเป็นการกระตุ้นให้พวกเขากลับมามีความหวังและการเชื่อมต่อกับโลกภายนอกมากขึ้น
ลดอาการซึมเศร้าและความวิตกกังวล
การมีปฏิสัมพันธ์กับสัตว์เลี้ยงไม่เพียงแต่สร้างความผ่อนคลาย แต่ยังช่วยลดระดับ Cortisol ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความเครียด การมีสัตว์เลี้ยงช่วยให้เจ้าของมีอารมณ์เชิงบวกมากขึ้น ลดอาการซึมเศร้า และช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ทั้งนี้การมีสัตว์เลี้ยงช่วยลดความวิตกกังวลและเพิ่มความรู้สึกของความสุขในชีวิต
ช่วยให้เปิดใจและเข้าสังคมได้ง่ายขึ้น
ผู้ที่เผชิญกับความสูญเสียมักจะหลีกเลี่ยงการเข้าสังคม เพราะความเศร้าโศกอาจทำให้พวกเขารู้สึกไม่อยากมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น แต่สัตว์เลี้ยงสามารถเป็นสื่อกลางในการเชื่อมโยงกับคนอื่นๆ ได้ ตัวอย่างเช่น การพาสุนัขไปเดินเล่นอาจทำให้พบปะกับเจ้าของสัตว์เลี้ยงคนอื่นๆ ซึ่งช่วยให้เจ้าของสัตว์เลี้ยงสามารถเข้าสังคมได้ง่ายขึ้นและรู้สึกเชื่อมโยงกับคนรอบข้าง
ส่งเสริมการออกกำลังกายและสุขภาพร่างกาย
การดูแลสัตว์เลี้ยงไม่เพียงแต่ช่วยด้านอารมณ์ แต่ยังช่วยส่งเสริมสุขภาพร่างกายอีกด้วย การพาสัตว์เลี้ยงไปเดินเล่นหรือออกกำลังกายร่วมกันช่วยให้เจ้าของได้ขยับร่างกาย ซึ่งส่งผลดีต่อทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต การออกกำลังกายช่วยลดความเครียดและเพิ่มพลังบวกให้กับเจ้าของสัตว์เลี้ยง
โดยรวมแล้ว สัตว์เลี้ยงทำให้ผู้ที่เผชิญกับความสูญเสียรู้สึกว่าไม่ต้องเผชิญความเศร้าเพียงลำพัง การดูแลและการมีปฏิสัมพันธ์กับสัตว์เลี้ยงสามารถช่วยให้ผู้คนก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากและกลับมารู้สึกมีความหวังและมีคุณค่าในชีวิตอีกครั้ง
6. การเข้าร่วม Workshop หรืออบรม
การเข้าร่วม Workshop หรืออบรมที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ดูแลจะช่วยให้ผู้ดูแลสามารถก้าวผ่านช่วงเวลาแห่งความสูญเสียได้อย่างเข้าใจและมีพลังในการดำเนินชีวิตต่อไป
ตัวอย่าง Workshop หรืออบรมที่เหมาะสำหรับผู้ดูแลหลังการสูญเสีย
- Workshop ด้านการเยียวยาความโศกเศร้า (Grief Healing Workshops)
- มุ่งเน้นไปที่การช่วยให้ผู้สูญเสียเข้าใจอารมณ์ของตนเอง และพัฒนาวิธีรับมือกับความเศร้า
- มักมีการฝึกปฏิบัติ เช่น ศิลปะบำบัด (Art Therapy) หรือการทำสมาธิ
- อบรมเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพจิตหลังการสูญเสีย
- ให้ความรู้เกี่ยวกับอาการทางจิตใจที่อาจเกิดขึ้นหลังการสูญเสีย
- มีการฝึกเทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การหายใจลึก หรือโยคะ
- กลุ่มสนับสนุน (Support Groups) สำหรับผู้ที่เคยเป็นผู้ดูแล
- เป็นกลุ่มที่ให้สมาชิกแบ่งปันประสบการณ์และรับกำลังใจจากกันและกัน
- การอบรมการใช้ศิลปะและการเขียนบำบัด
- มุ่งเน้นไปที่การใช้กิจกรรมสร้างสรรค์ในการช่วยแสดงออกทางอารมณ์
- งานวิจัยโดย Stuckey & Nobel (2010) พบว่าการมีส่วนร่วมในกิจกรรมศิลปะช่วยลดความเครียดและเพิ่มความเป็นอยู่ที่ดีทางจิตใจ
การเข้าร่วม Workshop ช่วยให้ผู้ดูแลเข้าใจสถานการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นระหว่างการดูแลผู้ป่วยทำให้พวกเขาสามารถปล่อยวางความรู้สึกผิดหรือความเสียใจและหันมาโฟกัสกับชีวิตของตัวเองและคนรอบข้างได้มากขึ้น หากคุณหรือคนใกล้ชิดกำลังเผชิญกับความสูญเสีย การเข้าร่วม Workshop หรืออบรมอาจเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้คุณสามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างเข้มแข็งและมีความหมายมากขึ้น
ไม่มีวิธีเยียวยาใดที่ตายตัวสำหรับทุกคน และไม่มีเส้นทางไหนที่ถูกหรือผิด ความเศร้าไม่จำเป็นต้องจางหายไปอย่างรวดเร็ว แต่เราสามารถค่อยๆ เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันอย่างอ่อนโยน โดยไม่ปล่อยให้มันกลืนกินเรา
สิ่งสำคัญคือการให้เวลากับตัวเอง อนุญาตให้ตัวเองเศร้า ร้องไห้ และรู้สึกถึงความเจ็บปวด เพราะทุกความรู้สึกของคุณล้วนมีคุณค่า และทุกหยดน้ำตาคือส่วนหนึ่งของกระบวนการเยียวยา ในขณะเดียวกัน อย่าลืมให้โอกาสตัวเองได้สัมผัสกับช่วงเวลาของความสุขเช่นกัน เพราะการใช้ชีวิตต่อไปไม่ได้หมายความว่าเราลืมคนที่จากไป แต่เป็นการคงไว้ซึ่งความรักและความผูกพันที่ยังอยู่เสมอ และขอให้รู้ว่าคุณไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่างในทันทีหรือทำให้ครบทุกวิธี แค่เลือกสิ่งที่เหมาะกับหัวใจของคุณในเวลานั้นก็เพียงพอแล้ว
References
Baikie, K. A., & Wilhelm, K. (2005). Emotional and physical health benefits of expressive writing. Advances in Psychiatric Treatment, 11(5), 338-346. https://doi.org/10.1192/apt.11.5.338
Pimdee, P. (2016). การเขียนเชิงบำบัดเพื่อเสริมสร้างสุขภาวะทางจิตใจ. วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้, 3(1), 24-33. https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/download/68719/55945
Smyth, J. M., Hockemeyer, J. R., Heron, K. E., Wonderlich, S. A., & Pennebaker, J. W. (2018). Prevalence, risk factors, and psychological correlates of expressive writing interventions: A meta-analysis. Psychosomatic Medicine, 80(7), 742-751. https://doi.org/10.1097/PSY.0000000000000610
Malchiodi, C. (2019, December 29). 2020 vision: Expressive arts therapy. Psychology Today. https://www.psychologytoday.com/us/blog/arts-and-health/201912/2020-vision-expressive-arts-therapy
LaMotte, S. (2024, March 13). Playing with dogs affects brain waves, study finds. CNN Health. https://www.cnn.com/2024/03/13/health/playing-with-dogs-affects-brain-waves-study-wellness/index.html
Stuckey, H. L., & Nobel, J. (2010). The connection between art, healing, and public health: A review of current literature. American Journal of Public Health, 100(2), 254-263.
