- คลังความรู้
- เข้าใจ “การุณยฆาต” ให้ถูกต้อง ก่อนคิดว่าเป็นทางเลือกสุดท้าย
เข้าใจ “การุณยฆาต” ให้ถูกต้อง ก่อนคิดว่าเป็นทางเลือกสุดท้าย
ความหมายที่แท้จริงของการุณยฆาตในแง่มุมของกฎหมายและศีลธรรม ที่ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิดเมื่ออยากเลือกทางนี้
เรื่องโดย พิสิษฐ์ ศรีอัคคโภคิน
มีคำถามมากมายว่า “ทำไมไม่อนุญาตให้มีการทำการุณยฆาตในเมืองไทย”
ผมขอใช้โอกาสนี้อธิบายให้เกิดความเข้าใจถึงความหมายของการุณยฆาต รวมถึงแง่มุมของกฎหมายและศีลธรรมที่มีความละเอียดอ่อน และไม่ใช่เรื่องง่ายการปฏิบัติแม้แต่ในประเทศที่อนุญาตให้มีการทำการุณยฆาตก็ตาม
“การุณยฆาต” เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการยุติชีวิตผู้ป่วย ถ้าใช้กฎหมายเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง ในระดับโลกจะแบ่งกระบวนการยุติชีวิตออกเป็น 2 รูปแบบ แล้วแต่การยอมรับของสังคม การเมือง สิทธิและเสรีภาพที่สังคมนั้นยึดถือเพียงใด ได้แก่
วิธีที่หนึ่ง การทำการุณยฆาต (Euthanasia) เป็นการกระทำโดยเจตนาเพื่อยุติชีวิตตามความประสงค์ของผู้ป่วยระยะท้าย มีเป้าหมายเพื่อบรรเทา หรือหลีกเลี่ยงความทรมานของผู้ป่วย ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายรองรับ1
วิธีที่สอง การยุติชีวิตด้วยตนเองโดยความช่วยเหลือจากแพทย์ (Physician assisted suicide) เป็นการที่แพทย์ช่วยเหลือผู้ป่วยตามความต้องการเพื่อยุติชีวิตตัวเอง2
ความแตกต่างของทั้งสองวิธีนี้คือ “ความตายเกิดจากการกระทำของใคร” กรณีของการุณยฆาต ความตายเกิดจากบุคลากรทางการแพทย์ (บุคลากรทางการแพทย์ให้ยา หรือสารเคมีเพื่อให้ตาย) กับกรณีของการช่วยเหลือให้ผู้ป่วยฆ่าตัวตายความตายจะเกิดจากมือผู้ป่วยเอง โดยมีผู้ช่วยเหลือให้ผู้ป่วยฆ่าตัวตาย
ตามกฎหมายของประเทศที่อนุญาตให้ยุติชีวิตผู้ป่วยได้กำหนดขั้นตอนในการป้องกันการฆ่าตัวตายตามกฎหมายไว้อย่างเข้มงวดมาก โดยมีกระบวนการหลัก คือ
- กำหนดเงื่อนไขการขอยุติชีวิตไว้เฉพาะกลุ่ม
- กำหนดให้ลงทะเบียนตามแบบที่กฎหมายกำหนด เพื่อขอยุติชีวิตสองรอบในระยะเวลาที่แตกต่างกัน เช่น ลงทะเบียนก่อน 15 วัน แล้วต้องมาลงทะเบียนซ้ำอีก 15 วัน (บางประเทศอาจกำหนด แค่ 7 วัน หรือบางประเทศกำหนด 30 วัน)
- กำหนดให้บุคลากรทางการแพทย์สอบถามผู้ที่ต้องการเข้ากระบวนยุติชีวิตว่า ได้รับการบรรเทาความทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดมาก่อนหรือไม่ เช่น เคยได้รับกัญชาทางการแพทย์หรือไม่ เคยได้รับการดูแลแบบประคับประคองหรือไม่ ฯลฯ
- กำหนดให้ญาติใกล้ชิด หรือเพื่อนสนิทเป็นพยานในหนังสือแสดงความจำนงขอยุติชีวิตตนเอง
- กำหนดระยะเวลาในการดำเนินการให้ยาวนาน เพื่อทอดระยะเวลาให้ตัดสินใจอย่างรอบคอบ
- ต้องมีการจัดทำฐานข้อมูลสถานที่ยุติชีวิต ขึ้นทะเบียนบุคลากรทางการแพทย์ที่ดำเนินการ ให้รายงานข้อมูลการดำเนินการต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด
ความพร้อมของประเทศไทยในเรื่องการยุติชีวิตผู้ป่วย
ปัจจุบันประเทศไทยยัง “ไม่พร้อม” สำหรับกฎหมายที่อนุญาตให้ยุติชีวิตผู้ป่วย เพราะเมื่อดูตามกฎหมายของประเทศที่อนุญาตพบว่า มีขั้นตอนป้องกันการฆ่าตัวตายมากมาย ที่สำคัญที่สุด กฎหมายบังคับให้บุคลากรทางการแพทย์ถามผู้ที่ต้องการยุติชีวิตว่า “ได้รับบริการทางการแพทย์ที่ช่วยลดความทุกข์ทรมานจากความเจ็บป่วยหรือไม่” หรือ “ท่านได้รับการดูแลแบบประคับประคองอย่างมีคุณภาพหรือไม่” (ถ้ายังไม่ได้ก็ต้องจัดให้) ทั้งนี้เพื่อให้ความตายเป็นทางเลือกสุดท้ายในการยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยที่ผู้นั้นได้รับ
ประเทศไทยเพิ่งเริ่มพัฒนาระบบการดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care) ยังมีระดับการให้บริการแบบประคับประคองที่น้อยมาก ดังนั้น ถ้ามีกฎหมายอนุญาตให้ยุติชีวิตผู้ป่วยได้ จะทำให้เกิดการละทิ้งคนแก่ ผู้พิการ ผู้ป่วยระยะท้ายที่หาทางออกในการดูแลไม่ได้ (เช่น ไม่มีเงิน ไม่มีคนดูแล ญาติไม่สนใจ) เป็นจำนวนมาก ผ่านกระบวนการทางการแพทย์
หรือพูดง่าย ๆ เป็นการอาศัยมือการแพทย์เพื่อฆ่าตัวตาย
ดังนั้น กับคำถามที่ว่า “ทำไมไม่อนุญาตให้มีการทำการุณยฆาตในเมืองไทย” นั่นก็เป็นเพราะเรายังมีทางเลือกที่เหมาะสมกว่า และยังจำเป็นต้องพัฒนาให้ก้าวหน้าเพื่อรองรับการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย หรือผู้สูงอายุ นั่นคือ การดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care)
เพราะแนวคิดหลักของการดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care) มุ่งไปที่การทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีที่สุด ทุกข์ทรมานน้อยที่สุดทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยเอาความต้องการที่แท้จริงของผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง เมื่อผู้ป่วยได้รับการดูแลเช่นนั้น ถ้าเมืองไทยมีระบบการดูแลแบบประคับประคองที่คนไทยเข้าถึงได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม
ผมเชื่อว่าคำถามข้างต้นนั้นจะน้อยลงมาก หรืออาจจะไม่เกิดขึ้นเลย
[1] ประกาศคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เรื่อง นิยามปฏิบัติการ (Operational definition) ของคำที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการดูแลแบบประคับประคอง (Palliative care) สำหรับประเทศไทย พ.ศ. 2563, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 137 ตอนพิเศษ 261 ง วันที่ 6 พฤศจิกายน 2563)
[2] อ้างแล้วใน 1