- คลังความรู้
- คำบอกลาสุดท้ายที่มีความหมาย
คำบอกลาสุดท้ายที่มีความหมาย
แนวทางการดูแลใจเพื่อส่งคนที่รักให้จากไปอย่างมีความสุข
เรื่องโดย a day bulletin
การบอกลาเศร้าเสมอ โดยเฉพาะกับคนที่เรารัก แต่เมื่อพวกเขาเดินทางมาใกล้ถึงปลายทางแห่งชีวิต และไม่มีสิ่งใดมาหยุดสิ่งที่เป็นสัจธรรมที่สุดอย่างความตายได้ มีวิธีไหนบ้างที่จะส่งเขาได้อย่างนุ่มนวล และทำให้การบอกลาครั้งนี้มีค่าที่สุด
การดูแลด้านจิตใจ
เป็นธรรมดาที่ผู้ป่วยในระยะท้ายมักรู้สึกกลัวการเสียชีวิต วิตกกังวล โกรธ ซึมเศร้า จนไปถึงต่อรองขอมีชีวิตอยู่ต่อ และยอมรับการจากไปของตนเอง แต่อาการเหล่านี้มักสลับสับเปลี่ยนกันไปมาไม่เป็นลำดับ เราในฐานะผู้ดูแล สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยด้วยการอยู่เคียงข้างอย่างเข้าใจ โดยทำสิ่งเหล่านี้
...จับมือ บีบมือ โอบกอดอย่างนุ่มนวล หรือแม้แต่นั่งอยู่ข้าง ๆ เงียบ ๆ
...รับฟัง รับรู้ เมื่อผู้ป่วยพูดเกี่ยวกับความกลัว และพร้อมที่จะแลกเปลี่ยนความรู้สึกของตนเองกับผู้ป่วย
...ยิ้ม หัวเราะไปด้วยกัน เมื่อมีเรื่องน่าขบขัน หรือเมื่อระลึกถึงความทรงจำตลก ๆ ที่เคยเกิดขึ้น อย่าให้ความเจ็บป่วยหรือความเศร้าบดบังอารมณ์ขันไปหมด
...ช่วยผู้ป่วยให้ยังคงความสัมพันธ์ทางสังคมกับเพื่อน โดยการต่อโทรศัพท์ให้ได้คุยกับญาติมิตรที่สนิท หรือช่วยเขียนจดหมายตามคำบอก
...ในขณะพูดคุยกับผู้ป่วย ให้รับรู้ความคิดเห็นของผู้ป่วย ไม่ตัดสินสิ่งที่ผู้ป่วยคิด หรือพูด จนเกิดเป็นประเด็นถกเถียงกัน
...ประเด็นที่ไม่ชัดเจนให้ถามเพื่อป้องกันการเข้าใจผิด หรือตีความผิด
...อย่าให้คำสัญญาที่เป็นไปไม่ได้ หรือความเชื่อมั่นที่ไม่เป็นจริง เช่น พรุ่งนี้หลานชายจะมาเยี่ยม (ทั้ง ๆ ที่หลานชายอยู่ไกล และไม่สามารถมาได้ทันในวันพรุ่งนี้อย่างแน่นอน) หรือคำพูดอย่าง “อย่าวิตกกังวลเลย โรคที่เป็นจะดีขึ้นเรื่อย ๆ” เป็นต้น
...เมื่อผู้ป่วยอยากคุยเรื่องการเสียชีวิต อย่าหลีกเลี่ยงที่จะคุย ควรพูดคุยและแลกเปลี่ยนถึงประเด็นนั้น และถ้ามีการขอความช่วยเหลือ อาจถามผู้ป่วยว่าต้องการคนอื่นที่อาจให้ความช่วยเหลือในประเด็นนั้นได้ดีกว่าคุณหรือไม่
การดูแลด้านร่างกาย
...อ่อนแรงและนอนหลับมากขึ้น ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะนอนหลับตลอดทั้งวัน บางรายอาจจะหลับลึกจนดูเหมือนปลุกไม่ตื่น แต่ก็ไม่ใช่อาการที่น่ากลัว และไม่ทำให้ผู้ป่วยทุกข์ทรมาน ผู้ดูแลควรหาเตียงที่นอนสบายให้กับผู้ป่วย ยกหัวสูงเล็กน้อย อาจมีหมอนข้างมาช่วยเสริมด้านข้าง พลิกตัวผู้ป่วยทุก 6 - 8 ชั่วโมง และใส่สายสวนปัสสาวะ หรือผ้าอ้อมสำเร็จรูป เพื่อสะดวกในการดูแล ทั้งยังสามารถกอด สัมผัส พูดคุยกับผู้ป่วยได้ตามปกติ
...กินอาหารและดื่มน้ำน้อย เพราะร่างกายที่ทำงานช้าลง จึงเป็นเรื่องปกติที่ผู้ป่วยจะกินอาหารและดื่มน้ำน้อยลง หากผู้ป่วยขอดื่มน้ำ ให้ยกศีรษะผู้ป่วยขึ้น และป้อนน้ำทีละน้อยด้วยหลอดหยด หรืออมน้ำแข็งก้อนเล็ก ๆ ส่วนการให้อาหารในช่วงเวลานี้ อาจเป็นเหตุให้สำลักเข้าไปในระบบทางเดินหายใจ และติดเชื้อในปอดได้ ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยทุกข์ทรมานเพิ่มขึ้น หรือเสียชีวิตก่อนเวลาอันควร การได้รับอาหารที่น้อยลงในระยะนี้ไม่ได้เป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยอดอาหารจนถึงแก่ความตาย
...การดูแลช่องปากของผู้ป่วย ผู้ป่วยส่วนใหญ่หายใจทางปาก และมักจะดื่มน้ำได้เพียงเล็กน้อย ทำให้ปากและลิ้นของผู้ป่วยแห้งมาก วิธีการดูแลคือ ผสมน้ำประมาณ 1 ลิตรกับ เกลือ 1/2 ช้อนโต๊ะ และผงฟู 1 ช้อนโต๊ะ แล้วใช้ผ้าก๊อซชุบน้ำดังกล่าวเช็ดปาก เหงือก และลิ้นของผู้ป่วย โดยสามารถเช็ดได้ทุกชั่วโมงเพื่อให้เกิดความชุ่มชื้น
...การดูแลตาของผู้ป่วย เนื่องจากผู้ป่วยปิดตาไม่สนิททำให้เกิดอาการตาแห้งและแสบได้ จึงควรใช้น้ำตาเทียมหยอดตาให้ผู้ป่วยวันละ 4 ครั้ง หากตาผู้ป่วยเผยอเปิดตลอดเวลา
...ดูแลอาการปวด อาการปวดของผู้ป่วยมักไม่เพิ่มขึ้นในช่วงสุดท้าย เนื่องจากขยับตัวน้อยลง และนอนหลับมากขึ้น บางครั้งญาติอาจได้ยินเสียงร้องคราง นั่นมักมาจากการขยับตัวร่วมกับการหายใจออก ไม่ใช่มาจากอาการปวด เพราะฉะนั้น จึงควรสังเกตอาการปวดโดยดูจากอาการหน้านิ่วขมวดคิ้วแทนเสียงร้องคราง อาจพิจารณาให้ยาแก้ปวดเพิ่มหากมีอาการดังกล่าวบ่อยครั้ง
...ภาวะกระสับกระส่าย เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีภายในร่างกาย เนื่องจากอวัยวะต่าง ๆ เริ่มวาย ผู้ดูแลอาจพิจารณาให้แพทย์สั่งยานอนหลับอย่างอ่อน เพื่อให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนบ้าง อย่างไรก็ตามให้พิจารณาตามสภาพอาการ หากกระสับกระส่ายประสาทหลอนมาก อาจช่วยให้ผู้ป่วยได้พักหลับมากขึ้น แต่หากอาการไม่มาก อาจไม่จำเป็นต้องรักษาอาการนี้ เพราะผู้ป่วยหลายรายอยากมีสติก่อนตาย เพื่อจะได้รู้สึกตัวว่าได้ล่ำลาญาติ ๆ ก่อนจากไป หรือบางรายอาจท่องบทสวดมนต์ก่อนลมหายใจสุดท้าย เพื่อให้เป็นการตายดีตามความเชื่อของตน
...หายใจไม่เป็นจังหวะ ผู้ป่วยอาจหายใจช้าบ้าง เร็วบ้าง ลึกบ้าง ตื้นบ้าง และอาจหยุดหายใจเป็นช่วง ๆ ซึ่งตัวผู้ป่วยเองจะไม่รู้สึกทรมานกับอาการนี้ เพราะเกิดจากภาวะกรดและด่างเปลี่ยนแปลงไปหลังจากอวัยวะต่าง ๆ หยุดทำงาน ให้เข้าใจว่าผู้ป่วยในภาวะนี้ไม่ได้ขาดออกซิเจน การให้ออกซิเจนจึงไม่จำเป็น ทั้งยังทำให้ผู้ป่วยเจ็บ อึดอัดไม่สบายตัว
...ภาวะเสียงดังครืดคราดจากน้ำลายสอ เสียงนี้เกิดจากกล้ามเนื้อในการกลืนไม่ทำงาน ลิ้นตก แต่ต่อมน้ำลายน้ำเมือกต่าง ๆ ยังทำงานอยู่ ภาวะดังกล่าวไม่ทำให้ทางเดินหายใจอุดตันจนถึงแก่ความตาย ผู้ดูแลควรให้ผู้ป่วยนอนตะแคงโดยมีหมอนยาวรองหลัง จะช่วยลดเสียงดังครืดคราดลงได้ ที่สำคัญคือไม่ควรดูดเสมหะด้วยเครื่องดูด เนื่องจากไม่ได้แก้ไขสาเหตุ และทำให้ผู้ป่วยเจ็บและอาเจียนจากท่อที่ล้วงลงไปดูดเสมหะในลำคอ
...มือเท้าเย็น ไม่ตอบสนองต่อสิ่งรอบข้าง เมื่อเวลาของผู้ป่วยใกล้หมดลง ญาติอาจสังเกตได้จากมือเท้าเย็น เปลี่ยนเป็นสีคล้ำ ผิวเป็นจ้ำ ๆ ตาเบิกกว้างแต่ไม่กะพริบ ปัสสาวะน้อยลงมาก ผู้ป่วยบางรายอาจตื่นขึ้นมาในช่วงเวลาสั้น ๆ เพื่อรวบรวมพลังงานสำรองที่มีทั้งหมดมาใช้ในการร่ำลาครั้งสุดท้ายก่อนจากไป เวลานี้ญาติควรหยุดวัดความดันโลหิตหรือสายวัดต่าง ๆ รอบตัว แกะเครื่องพันธนาการผูกมัดผู้ป่วยต่าง ๆ ให้ได้มากที่สุด ตั้งสติให้ดี และใช้เวลาช่วงสุดท้ายอยู่ข้างเตียงกับผู้ป่วยอย่างมีคุณค่ามากที่สุด
การดูแลด้านอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
...ดนตรีบำบัด ช่วยลดความกังวล และความเจ็บปวดของผู้ป่วยระยะสุดท้ายได้ ทั้งยังเป็นการเชื่อมสัมพันธ์ และสร้างบรรยากาศที่ดีระหว่างผู้ป่วยและญาติด้วย โดยมีหลายวิธี เช่น การฟังเพลง โดยนักดนตรีบำบัดจะค้นหาเพลงที่ผู้ป่วยชื่นชอบ มีการพูดคุยกับสมาชิกในครอบครัวผู้ป่วย และร้องเพลงพร้อมกับดีดกีตาร์ให้ผู้ป่วยและครอบครัวฟัง การวิเคราะห์เนื้อเพลง โดยนักดนตรีบำบัด ผู้ป่วย และครอบครัวผู้ป่วยจะร่วมกันคัดเลือกเพลง และนำมาวิเคราะห์เนื้อหาของเพลงร่วมกัน เช่น รู้สึกอย่างไร ชอบประโยคไหนมากที่สุด นอกจากนี้ ยังมีการใช้ดนตรีและมโนภาพ โดยนักดนตรีบำบัดจะทำงานร่วมกับผู้ป่วยและครอบครัวเพื่อค้นหาเรื่องราว หรือมโนภาพแห่งความทรงจำที่ดี บ่งบอกถึงความสงบ ความสุข และความสบาย รวมถึงการแต่งเพลง ที่จะช่วยให้ผู้ป่วยและครอบครัวได้ระบาย แสดงออกทางด้านอารมณ์ เล่าเรื่องราวชีวิต หรือฝากคำพูดที่สำคัญไว้ให้กับบุคคลที่ตนรัก
...ศิลปะบำบัด เป็นเครื่องมือในการสังเกต รับฟัง และเรียนรู้เรื่องราวด้านลบ ความเจ็บปวด หรือความภาคภูมิใจของผู้ป่วย โดยไม่จำกัดว่าต้องเป็นศิลปะประเภทไหน ทั้งการแต่งบทกวี ทำนิทาน วาดภาพ หรือทำงานประติมากรรม ขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญของผู้บำบัดและผู้ป่วย ศิลปะบำบัดมีประโยชน์ในแง่ที่เป็นโอกาสในการประมวลภาพชีวิต และการเตรียมตัวสำหรับวาระสุดท้าย ช่วยให้ได้ค้นหาและสะสางความต้องการของตนเอง และช่วยให้ผู้ป่วยได้ถอนตัวออกมาจากความป่วยไข้ ไม่จมจ่อมอยู่กับโรค หรือความเจ็บป่วยที่กำลังเผชิญอยู่มากจนเกินไป