- คลังความรู้
- เกิด แก่ (ไม่) เจ็บ ตาย: สูงวัยอย่างมีคุณภาพได้ แค่ออกกำลังกาย กินให้น้อย นอนให้พอ
เกิด แก่ (ไม่) เจ็บ ตาย: สูงวัยอย่างมีคุณภาพได้ แค่ออกกำลังกาย กินให้น้อย นอนให้พอ
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ
เรื่องโดย a day BULLETIN
เกิด แก่ เจ็บ ตาย สัจธรรมที่ได้ยินมาแต่ไหนแต่ไรว่าสุดท้ายเราล้วนต้องเผชิญ แต่คงไม่เกินไปเท่าไร
หากจะบอกว่าความคิดนั้นได้เปลี่ยนไป หลังจากได้พูดคุยกับ ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ และอ่านหนังสือของเขาที่มีชื่อว่า “Healthy Aging” ว่าด้วยการสูงวัยอย่างมีคุณภาพที่เขาได้รวบรวมข้อมูลจากงานวิจัยด้านสุขภาพในหลายสิบปีมาไว้ในหนังสือสองร้อยหน้านี้
หนังสือที่ ดร.ศุภวุฒิ ใช้ประสบการณ์ความเป็นผู้เชี่ยวชาญเศรษฐศาสตร์เป็นนักวิเคราะห์เศรษฐกิจ เปลี่ยนจากคิดเรื่องการเงินระดับประเทศ มาสำรวจสุขภาพร่างกายระดับบุคคลแทน การศึกษายาวนานที่เผยให้เห็นหนทางใหม่แล้วว่าแม้สุดท้ายเราจะแก่ แต่อาจไม่ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย ก่อนตายก็ได้
หากเพียงแค่เรากลับไปใช้ชีวิตตามที่ร่างกายมนุษย์นั้นถูกดีไซน์ -เคลื่อนไหวร่างกายให้บ่อย กินให้น้อย และนอนให้พอ- สามข้อสรุปจากการศึกษาค้นคว้าด้านสุขภาพมายาวนานของ ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่เชื่อว่า เกิด แก่ (ไม่) เจ็บ แล้วค่อยตาย นั้นทำได้จริง
จากความสนใจด้านเศรษฐศาสตร์ วิเคราะห์เศรษฐกิจ เปลี่ยนมาเป็นเรื่องสุขภาพได้อย่างไร
ความสนใจผมมีสองส่วน ส่วนหนึ่งคือเรื่อง practical guide ทำอย่างไรให้สุขภาพดีจนวันตาย ซึ่งก็คือวิธีการกิน นอน ออกกำลังกาย และความสนใจอีกส่วนคือเทคโนโลยีการแพทย์ที่ปัจจุบันไปไกลมากแล้ว
ยกตัวอย่างเทคโนโลยีล่าสุด มีงานวิจัยออกมาว่าเราสามารถกระตุ้นให้เซลล์ร่างกายอายุน้อยลงได้ เป็นงานวิจัยจาก ดร.เกร็กกอรี่ ฟาฮี (Dr. Gregory M. Fahy) ที่พบว่าเราสามารถกระตุ้น Thymus Gland ซึ่งเป็นต่อมที่คุมเรื่อง immunity ต่อมนี้จะเริ่มฝ่อตอนอายุยี่สิบกว่า และจะหายไปเลยตอนอายุหกสิบ อย่างผมนี่ไม่มีต่อมนี้แล้ว มันกลายเป็นก้อนไขมัน นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมคนแก่ถึงตาย เป็นไข้หวัดใหญ่ ติดโควิดก็ตายง่ายกว่า เพราะภูมิคุ้มกันมันไม่มีแคมป์ทหารมาช่วยเลยไม่แข็งแรง
งานวิจัยนี้เขาก็เลยใช้การกระตุ้น Thymus Gland ให้มันโต ปรากฏว่าได้ผล แต่ side effect ที่ตามมาคือร่างกายหนุ่มขึ้นไปด้วยเลย ฉะนั้นในเชิงคอนเซปต์เรื่อง Reverse aging นั้นเป็นไปได้แล้วนะ แต่เราไม่รู้กันเพราะมัวแต่กลัวเรื่องโควิด จนไม่ได้สนใจเรื่องอื่นเลย
หรืออีกงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ดที่เพิ่งออกมาเมื่อเดือนมีนาคม โดย ดร.ชินยะ ยามานากะ (Dr. Shinya Yamanaka) ที่ค้นพบหลักการ induced pluripotent stem cells (iPS) จากที่เราพยายามหา stem cells จากรกเด็กฉีดกันเข็มละแสนกว่าบาทเพื่อรักษาร่างกายทีละจุด แต่งานวิจัยเรื่อง induced pluripotent stem cells นี้ มันหมายความว่าเราสามารถหมุนเวลาเซลล์ปกติให้กลับเป็น stem cells ได้
งานวิจัยนี้ก็ทำให้ ดร.ยามานากะ ได้รางวัลโนเบลไปแล้วในปี 2012 ในช่วงที่ผ่านมาก็มีบริษัทต่าง ๆ ตั้งขึ้นมาเพื่อทำเรื่องนี้เยอะเลย รัฐบาลก็ร่วมสนับสนุนด้วยพูดง่าย ๆ คือ ตอนนี้เราสามารถทำให้เซลล์ย้อนวัยได้แล้ว ถ้าเราทำได้นี่มันจะแก้ปัญหาได้เยอะมาก และที่น่าสนใจคือ งานวิจัยนี้เขาบอกว่าเวลาคุณ induce ให้เซลล์มันอ่อนวัยลง ไม่ต้องทำให้มันถึงขั้นกลับไปเป็น stem cells ก็ได้ แค่ย้อนเวลาให้มันหนุ่มลงก็ได้
อันนี้พิสูจน์แล้วกับเซลล์กระดูก เซลล์กล้ามเนื้อ ลองคิดดูว่าถ้าเวลาผ่านไป เรื่องนี้มีพัฒนาการมากขึ้น ในไม่ถึง 20 ปี คนเราจะเลือกอายุตัวเองได้เลย เพราะมันย้อนวัยคนได้ ผมเล่าเบื้องต้นเท่านี้ก่อน ทุกอย่างที่ผมพูดมันถูกตีพิมพ์ในงานวารสารทางวิชาการผ่าน peer review แล้ว ไม่ได้มั่ว ยืนยันได้ หรือรางวัลโนเบลที่ ดร.ยามานากะ ได้รับก็เป็นการยืนยันอย่างดีว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง ความสนใจผมเลยมีอยู่สองเรื่อง เรื่องหนึ่งคือทำให้ตัวเองสุขภาพดี เรื่องสองคือเรื่องเทคโนโลยีทางการแพทย์พวกนี้ ก็ดูแลตัวเองไปจนกว่าเทคโนโลยีพวกนี้จะมา
เทคโนโลยีทางการแพทย์พวกนี้จะเปลี่ยนชีวิตเราไปอย่างไร
เทคโนโลยีใดใดก็ตามล้วน disrupt โลกทั้งนั้น ทั้งโทรศัพท์มือถือ กล้องดิจิตอล ฯลฯ วงการเดียวที่ยังไม่ถูก disrupt คือการรักษาโรคปัจจุบัน เรายังทำเหมือนร้อยปีที่แล้ว ต้องไปโรงพยาบาล นัดหมอ เพื่อรักษาแต่ละโรค โดยที่หมอจะวินิจฉัย เน้นการตรวจโรคและอวัยวะ แล้วสั่งยาให้ 3 - 4 อย่าง ให้คุณไปลองดูว่าอันไหนมันเหมาะกับคุณ อันไหนแพ้ไม่แพ้ มันเป็นการวินิจฉัยในระดับบน ดูจากอวัยวะ และโรคที่ปรากฏ แต่นักวิจัยพวกนี้เขาเป็น pioneer สังเกตว่างานวิจัยพวกนี้เป็นเรื่องระดับเซลล์ มันจะเปลี่ยนทุกอย่างเลย เช่น ถ้าผมบอกว่าผมจะทำ prulipoten stem cells ย้อนอายุเซลล์ในร่างกาย ผมแก้ได้ทุกโรคเลย คือกลับไปเป็นหนุ่มอีกครั้งเลย
นอกจาก Stem Cells เปลี่ยนโรค มีเทคโนโลยีอะไรที่จะเปลี่ยนโลกอีกบ้าง
มีอีกเทคโนโลยีที่น่าจะได้รางวัลโนเบลในอีก 4 - 5 ปีข้างหน้า ที่เรียกว่า CRISPR-Cas9 (คริสเปอร์แคสไนน์) หรือการอีดิตยีน เช่น ถ้าคุณมียีน APOE4 คุณมีความเสี่ยงจะเป็นอัลไซเมอร์ ซึ่งตอนนี้ Board Institute ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ร่วมกับ MIT สามารถอีดิทยีนนี้ออกไปได้เลย หรือตัวอย่างที่มีข่าวนักวิทยาศาสตร์จีนคนหนึ่ง เขาโคลนเด็กออกมา แล้วเขาอีดิทยีนตัวหนึ่งออกไปเพื่อให้เด็กแฝดหญิง ชื่อนานากับลูลู ให้สองคนนี้ไม่มีทางเป็นโรคเอดส์
CRISPR-Cas9 นี่อีดิทยีนทุกอันได้เลย ถ้าคุณเป็นธาลัสซีเมีย อีดิทยีนนี้ไปได้ก็ไม่เป็นแล้ว เทคโนโลยีการแพทย์มันไปทางนี้ แล้ว มันจะ disrupt การแพทย์ไปอย่างสิ้นเชิง เราจะไม่มีหมอ มีแต่ Genome Engineer คุณจะมี Engineer ที่ไปดูว่ายีนอันไหนมันบกพร่องแล้วไปจัดการตรงนั้น หรือถ้าจัดการไม่ได้ก็จะไปจัดการ stem cells แล้ว reverse aging แทน แต่ทุกอย่างทำในระดับเซลล์หมด เทคโนโลยีพวกนี้ คือสิ่งที่ทำให้ผมตื่นเต้น ผมอาจอยู่ไม่ทัน แต่พวกคุณนี่แหละ ดูแลตัวเองให้ดีกันต่อไป คุณเลือกได้ว่าคุณจะตายเมื่อไร หรือไม่ตาย
เพราะว่าพื้นฐานที่ผมพูดถึง มันคือ genomic ยีนนี่คือ instruction set สำหรับร่างกาย ถ้าคุณทำ map genome ของตัวเอง ต่อไปคุณรู้ก่อนเป็นโรคด้วยซ้ำว่า คุณเสี่ยงเป็นโรคอะไร แล้วค่อยไปคุยกันว่าจะอีดิทยีนนี้ออกเลยไหม หรือจริง ๆ ไม่ต้องมานั่งคุยด้วยอยู่บ้านนี่แหละ เขาแค่ใส่ชิปแทร็คยีนคุณ วันไหนยีนคุณมีปัญหา หรือมีเซลล์ที่อาจกลายเป็นเนื้องอก ศูนย์ข้อมูลรู้ก่อนคุณอีก แล้วมันจะ disrupt การแพทย์ เพราะคุณไม่ต้องมาโรงพยาบาล เพราะพอเขาได้ข้อมูล ก็แค่ส่งยาไปให้ที่บ้านเลย Future of medicine มันจะเป็นแบบนี้ แล้วมันจะไม่ใช่การรักษาด้วยยาด้วย มันจะเป็น Genomic therapy
อีกนานเท่าไรกว่าเราจะเห็นการ disruption ใหญ่ในการรักษาสุขภาพแบบนี้
ผมไม่รู้ว่ามันจะทันยุคผมไหม แต่ผมรู้ว่า สหรัฐอเมริกาลงทุน Map genome เมื่อปี 1998 เสร็จตอนปี 2003 ตอนแรกใช้เงินไปสองพันกว่าล้านเหรียญ ตอนนี้เขาทำให้คุณได้ในราคาสี่ร้อยเหรียญ ต่อไปจะเกิดการ map for free หรือเป็นของแถมไปเลย จากที่เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย มาจนถึงขั้นนี้ได้เขาใช้เวลาไปสิบเจ็ดปี
ฉะนั้นในอีกไม่เกินยี่สิบปีข้างหน้า เราน่าจะรู้ได้หมดเลยว่ายีน 20,000 ตัวในร่างกายเรา ตัวไหนรับผิดชอบเรื่องอะไรบ้าง เทคโนโลยีสามารถทำให้เขาสามารถค้นคว้า ไล่ดูได้ เขาไล่ดูได้ว่ายีนตัวไหนทำให้เป็นโรคอะไร ยีนตัวไหนทำให้ตาบอด เป็นโรคปอด เป็นเบาหวาน ความดัน ก็บอกได้ เพราะ โรคกรรมพันธุ์พวกนี้ก็มาจากยีน ขอแค่เวลา track เท่านั้นแหละว่าเป็นยีนตัวไหน แล้วค่อยใช้ CRISPR-Cas9 ไปอีดิทได้
ข้อดีของเทคโนโลยีคือให้ความหวัง แต่ในขณะเดียวกันมันจะทำให้เรานิ่งนอน ปล่อยร่างกายให้อยู่ในความดูแลของเทคโนโลยีหรือไม่
ผมไม่ได้บอกให้นิ่งนอนใจ แต่ target group ของหนังสือผมคือพวกคุณในวัยสามสิบ ตามร่างกายแล้ว ถ้าเป็นผู้หญิงร่างกายจะพีคที่อายุ 18 ดีไปเรื่อย ๆ จนถึง 25 หลังจากนั้นมันจะ deteriorate นิดหน่อย แต่ยังทำงานได้ดีอยู่ แต่ผมรับรองเลยว่าหลังจาก 40 ร่างกายมันจะไหล เจตนาของการเขียนหนังสือเล่มนี้เลย คืออยากให้คนอายุสัก 30 อ่านว่า คุณจะ maintain peak ของคุณไปได้นานได้อย่างไร อย่างผมนี่เริ่มสายเกินไป เพราะมัวแต่สนใจเรื่องเศรษฐกิจ มาเริ่มเอาตอน 50 กว่า สายไปตั้ง 15 ปี เสียดายมากบอกตรง ๆ แต่พอทดลองกับตัวเองแล้วเห็นว่าได้ผลดีค่อนข้างมาก
ตอนผม 56 ผมหนัก 80 กว่ากิโล ตอนนั้นนี่เจ็บไหล่ เจ็บหลัง เจ็บเข่า ตอนนี้ไม่เจ็บเลย แล้วมันไม่ยาก ไม่เสียเงินเพิ่มด้วย เพราะกินน้อยลง นอนมากขึ้น ออกกำลังกายด้วยการวิ่งที่ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไร มันไม่มีข้อเสียอะไรเลยที่จะทำให้ตัวเองแข็งแรงขึ้น
จุดเปลี่ยนที่ทำให้หันมาดูแลรักษาสุขภาพในวัยเกือบหกสิบปี
โชคดีที่เพื่อนร่วมงานเขาเห็นผมสุขภาพแย่ เพื่อนร่วมงานเห็น แต่ผมไม่เห็นนะ เขาบอกให้ไปตรวจสุขภาพ ผมก็ไม่ไป ผมต้องเดินทางไปต่างประเทศเยอะ ทุกครั้งหลังเดินทางกลับมาไม่สบายตลอด ปีหนึ่งไม่สบาย 5 - 6 ครั้ง จนคิดว่าเป็นปกติของคนอายุห้าสิบกว่า เพราะผมไม่เคยสนใจสุขภาพเลย มัวแต่สนใจเรื่องเศรษฐกิจ เหมือนคุณ sub - contract การรักษาสุขภาพตัวเองไปให้คนอื่น เพื่อนเลยแอบนัดหมอ anti – aging แล้วให้ผมไปตรวจ หมออ่านฮอร์โมนแล้วบอกว่าอายุเท่าคนวัย 70 กว่า แต่ตอนนั้นผมอายุ 56 นะ คือแย่มากเลย ผลตรวจวันนั้นมันเป็น wake up call ทำให้ต้องถามตัวเองว่าจะเอายังไงต่อ จะเฉื่อยแฉะไปเรื่อย ๆ หรือจะใช้ความเป็นนักวิเคราะห์เป็นมาดูข้อมูลแล้วหาทางเลือกให้ตัวเอง
การวิเคราะห์ข้อมูลเศรษฐกิจ และข้อมูลสุขภาพ มีความเหมือนหรือต่างกันอย่างไร
เวลาผมทำวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์ ผมจะเอาข้อมูลเยอะ ๆ มาแบ่งมารวมกันว่าอันไหนสำคัญ ไม่สำคัญ แล้วผมก็จะต้องเอาข้อสรุปมาบอกนักลงทุนว่า เขาควรจะ take action อะไร งานวิจัยของผมไม่ใช่เอาไว้ขึ้นหิ้ง แต่จะตัดสินใจอย่างไร จะ buy sell หรือ hold ก็เอาเรื่องข้อมูลมาใช้กับสุขภาพตัวเอง คืออ่านข้อมูลให้หมดเลย เริ่มจากข้อมูลไหนเชื่อถือได้บ้าง ก็เริ่มจากโนเบลเลย เชื่อถือได้แน่นอน มันถูกกลั่นกรองมาเยอะมากแล้ว แล้วมาเลือกว่าจะ take action ไหนที่ดีที่สุดหลังจากได้ข้อมูลมา
ข้อมูลที่ได้มา ทำให้เราตาสว่างอย่างไรบ้างก็หลายอย่าง เช่น ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า ที่ชื่อนี้ก็ผิด ต้องเรียกว่าสามสิบบาทรักษาทุกโรคนั้นถูกแล้ว คือมันรอให้เป็นโรคแล้วค่อยไปรักษา เหมือนรอให้รถชนแล้วเอารถไปซ่อม แต่คุณอยากเอาให้รถชน อยากเป็นโรคแล้วไปรักษาเหรอ ทำไมเราถึงไม่ proactive มากกว่า reactive ละ แต่มนุษย์เราส่วนใหญ่จะ reactive ไม่อย่างนั้นบริษัทประกันส่วนใหญ่ขายประกันสุขภาพไม่ได้หรอก ทั้งที่เขาไม่ได้ประกันสุขภาพเลยนะ แต่เวลาเราฟังเขาขาย เราก็ซักถามว่า cover โรคนั้นโรคนี้ไหม กลายเป็นว่าเราอยากเป็นทุกโรคเลย จะได้คุ้ม ผมว่ามันไม่ใช่ อย่างผมเองนี่ช่วงนึงก็ซื้อประกันตรีมเลย แล้วก็จี้ถามราวกับว่าอยากเป็นทุกโรคเลย แต่เราคิดผิด เรามัวแต่รอให้โรคมาเยือนแล้วหวังว่า ประกันจะมารักษาโรคได้อย่างไร
วันนั้นที่ไปตรวจสุขภาพมันถึงมีแรงกดดันกึ่งบันดาลใจว่าต้องคิดใหม่แล้ว เพราะคิดแบบนี้มันผิดหมดเลย ทั้ง attitude หรือเรื่องประกันสุขภาพ ทำไมเราต้องรอให้เป็นโรคจะได้ใช้ประกัน ใช้สิทธิสามสิบบาท ทั้งที่ปกติแค่ไปหาหมอยังไม่อยากไปเลย คนเราบางคนนี่รู้ว่าตัวเองจะเป็นโรค ยังไม่ยอมไปตรวจร่างกายเลย อาศัยทำบุญเอา หรือไปรอรักษาโรคตอนป่วย จะเลือกเดินทางนั้นก็ได้ หรือจะเลือกอีกทาง คือเลือกรักษาสุขภาพ ซึ่งไม่ใช่ทางที่คนส่วนใหญ่เลือก คนส่วนใหญ่ by default เลือกรักษาโรค
ที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าเราไม่มีข้อมูล เรามีข้อมูลมากมาย แต่ข้อมูลไหนที่พบแล้วเปลี่ยนความรู้ เป็นการลงมือทำได้ จากการอ่านบทความทางวิชาการหลายปีที่ผ่านมา ไม่มีบทความไหนเลย ที่บอกให้กินเยอะ ๆ นอนน้อย ๆ ไม่ต้องออกกำลังกาย แล้วจะสุขภาพดี ไม่มีเลย มันตรงกันข้ามหมด สุดท้ายแล้ว การรักษาสุขภาพมันมีแค่ กินน้อย นอนเยอะ ออกกำลังกายเป็นประจำสุขภาพถึงจะดี มีแค่นั้นเองจริง ๆ ผมอ่านมาเยอะมากแล้ว
เพราะว่าร่างกายมนุษย์เราถูกดีไซน์มาแบบนี้ ให้อดอยากบ้าง แล้วก็ต้องเคลื่อนไหวร่างกาย ตอนกลางคืน ไม่มีไฟฟ้าก็ต้องนอน มนุษย์เราเกิดมาหกล้านปีที่แล้ว วิวัฒนาการมันมาไม่ทันหรอก เราเพิ่งสร้างอาหารฟาสต์ฟู้ด เพิ่งสร้างไฟฟ้า เทคโนโลยีเพิ่งไม่กี่ร้อยปีที่แล้วเอง ร่างกายมัน evolve ไม่ทัน ร่างกายมันถูกสร้างมาให้ล่าสัตว์ ต้องอดมื้อกินมื้อ กลางคืนต้องรีบไปนอนในถ้ำ ไม่งั้นสัตว์จะมาคาบไปกิน
ถ้าคุณใช้ชีวิตตามที่ถูกดีไซน์มา ร่างกายมันถึงจะอยู่ได้นาน ในหนังสือเล่มนี้ก็จะลงรายละเอียดว่ามันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ Dr. Daniel Lieberman แกไปดูสรีระของร่างกายคนเรา และก้ามที่ใหญ่ที่สุดคือกล้ามก้น กล้ามอันนี้เวลาเดินมันไม่ต้องใช้ มันใช้แค่ตอนวิ่ง มันต้องวิ่งล่าสัตว์
สูงสุดสู่สามัญ ถ้าสุดท้ายสิ่งสำคัญคือกลับไปใช้ชีวิตตามพื้นฐานร่างกาย แล้วทำไมเราต้องพึ่งเทคโนโลยี
เราใช้เทคโนโลยีเพื่อเป็นตัวเสริมศักยภาพของเรา แต่อย่าลืมว่า basic design ของร่างกายมนุษย์ มันดีไซน์ให้กินน้อย นอนเยอะ และเคลื่อนไหวร่างกายเป็นประจำ เราก็ต้องใช้ร่างกายแบบนั้น ในหนังสือผมบอกว่า ให้วิ่งอาทิตย์ละ 20 กิโล กินสองมื้อ นอนให้ได้ 7 - 8 ชั่วโมง แค่นี้ก็พอ เบสิคต้องเป็นแบบนี้ อย่างอื่นคุณทำอะไรผมไม่สน แต่ผมขอพื้นฐานเท่านี้
ดร. โอซูมิ (Yoshinori Ohsumi) ได้รางวัลโนเบล เมื่อปี 2016 บอกว่าเซลล์มัน rejunevate ตัวเอง เซลล์มันมี autophagy มันฟื้นฟูตัวเอง ฉะนั้นคุณต้องกินสองมื้อ หรือบางวันผมกินหนึ่งมื้อ เพื่อให้คุณรู้สึกหิวนิด ๆ ทุกวัน และนอนให้พอ หลังจากหาข้อมูลมาหกปี ข้อสรุปมันง่ายเท่านี้เลย
ข้อมูลทำให้เริ่มลงมือทำ แต่กุญแจสำคัญคืออะไรที่จะทำให้คนเราลงมือทำได้อย่างต่อเนื่อง
ปีแรกก็เหนื่อยนะครับ ยอมรับว่าหิว ช่วงเวลาอาหารเย็นเคยเป็นไฮไลท์ของวัน กลับมาหิวก็ต้องรีวอร์ดตัวเอง แต่กลายเป็นต้องไปวิ่ง ช่วงแรกมันยากสุด ๆ ไปเลย แต่ข้อดีของการเป็นนักวิจัยคือ มันจะทำให้คุณมีวินัยได้ระดับนึง เวลาเราต้องวิเคราะห์อะไร สมาธิมันต้องมี มันถึงจะวิเคราะห์ได้ สงสัยว่าสมาธินี่มันทำให้มีความแน่วแน่ในการที่จะทำสิ่งยากให้ลุล่วงไปได้ คนที่มีสมาธิจะมีความแน่วแน่ ผมสงสัยว่ามันอาจมีส่วนตรงนั้น
แต่ในอีกส่วนหนึ่งคือ ข้อมูลที่ได้มา ยิ่งอ่านยิ่งเถียงตัวเองไม่ได้ ว่าทำไมเราต้องกลับไปใช้ชีวิตอย่างเดิม ถ้ากลับไปแบบเดิมนี่เสร็จแน่ ผมจนด้วยปัญญา เอาจริง ผมพยายามไปหาข้อมูลอื่นนะ ไปหาข้อมูลที่จะแย้งว่าเรากินเยอะได้ ไม่ต้องออกกำลังกาย แต่ผมหาไม่ได้ มันไม่มี ข้อมูลมันฝังอยู่ในหัวแล้ว รู้แล้วจะไปทำแบบอื่นมันก็ไม่ใช่เหมือนถ้าคุณได้ข้อมูลหุ้นอย่างหนึ่งมา แต่คุณไป take action ในทางตรงกันข้ามกับข้อมูลมันก็ไม่ถูก ต่อให้คุณออกกำลังกายได้สัปดาห์ละ 4 ชั่วโมง ผมขอแค่นี้ มันไม่เยอะเลย มันจะยากอะไร คุณใช้เวลากินมากกว่านั้นเยอะ เวลาคุณกินอาหารโดยเฉพาะ แป้ง น้ำตาล โดพาร์มีนมันขึ้นไง คุณแฮปปี้สุด ๆ เลย แต่วิ่งนี่มันได้สารอีกอันนึงที่ทำให้รู้สึกดีเหมือนกันคือ เอ็นดอร์ฟิน แทนที่จะได้โดพาร์มีนจากการกิน ผมก็วิ่งเอาเอ็นดอร์ฟินแทนแล้วกัน
แต่ทั้งสองล้วนเป็นฮอร์โมนที่ทำให้เรารู้สึกดีเหมือนกัน ปัญหาคือกว่าเอ็นดอร์ฟินจะออกคุณต้องวิ่งจนเหนื่อยก่อน ซึ่งคนมักจะหยุด แต่คุณต้องวิ่งจนหลุดจุดเหนื่อยก่อน พอเลยจุดเหนื่อยจุดเมื่อยไปแล้ว เอ็นดอร์ฟินมันถึงจะออกมาแล้วมันจะรู้สึกดี ผมก็จะวิ่งข้ามจุดนี้ วิ่งสักห้ากิโลเมตรขึ้นไป ยอมรับว่าช่วงแรกมันไม่ง่าย มันฝืนมาก แต่ผมอ่านงานวิจัยจนรู้ว่าวิ่งไปเท่านี้แล้วเอ็นดอร์ฟินมันจะมา ข้อดีคือเรารู้ข้อมูล เราสามารถอ่านงานวิจัยจนรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น และคาดการณ์ได้
ทุกอย่างที่ผมเขียนลงหนังสือเล่มนี้ ผมเอาตัวเองเป็นหนูทดลองหมด ทุกอย่างที่ผมเขียนลงไป ผมลองหมดแล้ว พิสูจน์แล้วทั้งในเชิงงานวิชาการ และการปฏิบัติว่ามันทำได้จริง
เรามีเทคโนโลยีรักษาโรคมากมาย เรามี easy pill ที่รักษาสุขภาพได้โดยไม่ต้องออกแรงบ้างไหม
จริง ๆ มีทฤษฎีใหม่ที่พูดถึงระบบที่ทำให้เป็นโรค เรียกว่า epigenome เอพิแปลว่าอยู่เหนือ อันนี้หนังสือที่ผมพูดถึงเป็นหนงัสือของดร. เดวิด ซินแคลร์ (Dr.David Sinclair) ชื่อ “Lifespan: Why We Age – and Why We Don’t Have To” เขียนลึกมาก อ่านยาก เป็นทฤษฎีใหม่ที่บอกว่า disease aging เป็นเรื่องของ epigenome ก็เป็น paradigm shift ที่ไม่ใช่เรื่อง antioxidant เพียงว่าเรื่องสารต้านอนุมูลอิสระมันขายของได้ คนก็เลยพูดกันเยอะ เวลาคนถามว่ากินอะไรดี ผมก็จะตอบว่า ไม่กินดีที่สุด
แต่มันก็จะมีบางกรณีที่มีประโยชน์จริง ๆ เช่น ชา ที่มันมี antioxidant ของเขาเอง ผมเขียนลงในอีกเล่มคือ “Beating Covid-19” อันนี้ต้องยอมรับว่าชามันมันมีอะไรในกอไผ่จริง ๆ ที่คนดื่มกันมาสองพันปี มันเวิร์คจริง ๆ แต่มันเวิร์คยังไงนี่ยังเถียงกันอยู่ คือความรู้ร้อยเปอร์เซ็นต์ทางวิทยาศาสตร์ยังไม่ตกผลึกเต็มที่ แต่มีงานวิจัยบางอย่างที่เขียนแนะนำให้ชาเป็นส่วนหนึ่งของการโภชนาการ เป็น part of daily nutrition เลย คือถ้าจะให้มี easy pill ที่กินได้เลย ก็น่าจะเป็นชานี่แหละ แล้วมันเป็นพืชธรรมชาติ ไม่ได้สกัดออกมาเป็น antioxidant อะไร
เชื่อตามชื่อหนังสือจริง ๆ เลยไหมว่าสุดท้ายแล้ว ‘We don’t have to age’ เพราะว่าคุณสามารถคุมยีนได้แล้ว
ยีนมันเป็นทุกอย่างเหมือนที่บอกไปตอนต้นว่าคุณอีดิทยีนได้แล้ว หรือที่ ดร.เกร็กกอรี่ ฟาฮี reverse aging ได้แล้ว ในเชิงคอนเซปต์มันได้รับการพิสูจน์แล้ว เราพยายามที่จะทำให้เราสุขภาพดีจนวันสุดท้าย ส่วนตายไปเมื่อไรมันก็แล้วแต่ เรายังไม่สามารถกำหนดได้ มันเป็น uncertainty แต่คือสุดท้ายก่อนตาย เรายังใช้ชีวิตได้ และค่อยตายไปเลย ไม่เป็นภาระใคร ไม่ทรมานด้วย ตอนนี้มันได้เท่านี้ก่อน แต่ในระยะยาว มันไม่มีอะไรบังคับว่า เราจะอายุแค่ 80 - 100 ปีนะ โดยเฉพาะถ้าต่อไปเราทำ engineer genome ได้
นอกจากประโยชน์ส่วนตัวแล้ว การรักษาตนเองให้มีสุขภาพดีจนวันสุดท้ายจะก่อให้เกิดประโยชน์ส่วนรวมอย่างไรบ้าง
ปัญหาตอนนี้ของทุกประเทศคือ คนกำลังกลัวว่าค่าใช้จ่ายคนแก่จะสูง อย่างคนไทยมีคนอายุเกิน 60 อยู่ 11 - 12 ล้านคน ในปี 2040 จะเพิ่มมาเป็นยี่สิบล้าน คนที่อยู่ในวัยทำงานเขาต้องแบกภาระจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น แต่ถ้าคนกลุ่มนี้สุขภาพดีจนวันสุดท้าย ก็จะไม่เป็นภาระตอนนี้ งบประมาณที่เราใช้กับประกันสุขภาพถ้วนหน้า ถ้าจำไม่ผิดอยู่ที่สามแสนล้าน แล้วถ้าคนสูงอายุมากขึ้น คนสุขภาพไม่ดีอีก งบจะเป็นเท่าไร TDRI เคยบอกว่าจะต้องใช้งบถึงล้านล้าน แต่ถ้าทุกคนแก่
แต่ไม่เจ็บ ถึงเวลาตายก็ตายไปเลย ไม่ต้องเป็นโรคอะไรเลย ล้านล้านไม่ต้องใช้เลยนะ ไม่ดีกว่าเหรอ