- คลังความรู้
- เอื้อมพร แสงสุวรรณ
เอื้อมพร แสงสุวรรณ
ยืนหยัดผ่านโรคร้ายด้วยพลังรักของคนในครอบครัว และศรัทธาในอาหารที่ดีต่อสุขภาพเฉพาะบุคคล
เรื่องโดย ทัศนีย์ ยาวะประภาษ
ผู้หญิงตัวเล็ก ใบหน้าอ่อนกว่าวัยคนนี้ มักเติมพลังให้คนรอบข้างด้วยรอยยิ้มแสนสดใส และภาพถ่ายแสงแรกแห่งวันในบัญชีเฟสบุ๊กส่วนตัวทุกเช้า เธอเป็นอดีตบรรณาธิการบริหารนิตยสารสายสุขภาพทางเลือก เคยรักษาโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองหลายปีด้วยตัวเองผ่านโภชนาการบำบัด เมื่อหายดี เธอตั้งใจเรียนเรื่องสุขภาพและอาหารจนสำเร็จการศึกษา เป็น FNTP (Functional Nutritional Therapy Practitioner) คนแรกของประเทศไทย
ปัจจุบัน เอื้อมพรก่อตั้งเว็บไซต์ firstthaintip.com ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารสุขภาพเฉพาะบุคคล ช่วยผู้คนออกแบบการใช้ชีวิตที่ดีผ่านการเลือกรับประทานอาหารเฉพาะบุคคล และเอื้อมพรมีวิธีคิดที่ตั้งอยู่ในมรณานุสติเสมอ
“สิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้แบ่งได้หลายส่วน ส่วนแรกเป็นเรื่องของการผันตัวมาเป็น FNTP ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารสุขภาพเฉพาะบุคคล ซึ่งส่วนแรกเรามีเฟสบุ๊กเพจ firstthaintp.com ทำเนื้อหาเกี่ยวกับอาหารสุขภาพแนวใหม่ แนะนำให้คนกินให้หลากหลาย และกินตามเป้าหมายเฉพาะบุคคล เช่น คนท้องย่อมกินไม่เหมือนคนที่จะลดน้ำหนัก คนจะลดน้ำหนักก็ย่อมไม่เหมือนคนที่จะสร้างกล้ามเนื้อ หรือคนจะสร้างกล้ามเนื้อก็ย่อมไม่เหมือนคนที่ป่วยเป็นโรค โดยเราทำร่วมกับหลายองค์กร เพราะว่าเรื่องอาหารอย่างเดียว อาจไม่ครอบคลุมความต้องการทั้งหมดของลูกค้า เช่น บางคนอาจอยากได้ผลิตภัณฑ์ บางคนอาจต้องการผู้เชี่ยวชาญด้านอื่น ๆ มาช่วยดูแลสุขภาพด้วย เช่น แพทย์ด้านธรรมชาติบำบัด แพทย์แผนปัจจุบัน นักจิตวิทยา ซึ่งเราก็จะมี Partner ซึ่งเราทำงานด้วยกัน”
คุณเอื้อมพรเริ่มต้นเล่าให้ฟังถึงงานที่กำลังทำอยู่ในขณะนี้ แต่ละงานน่าสนใจ แปลกใหม่ ชวนใคร่รู้อย่างยิ่ง
“ส่วนที่สองคือทำงานกับโรงพยาบาล โดยทำหน้าที่ช่วยคุณหมอดูแลเรื่องอาหารให้คนไข้ซึ่งรับมาจากต่างประเทศ ส่วนใหญ่เป็นปัญหาเกี่ยวกับเรื่องสมอง เราจะออกแบบอาหารของเรากับคนไข้
“และส่วนที่สาม เหมือนอาชีพเดิมที่เคยทำมา คือทำสื่อ นำเสนอสื่อ แล้วก็มีสินค้าขาย เราทำกับบริษัท Sukina จำกัด ซึ่งแยกมาจาก JSL Global Media มีไลฟ์เรื่องสุขภาพด้วยกันกับซีอีโอ มีการแชร์ข้อมูลให้เขานำไปเสนอต่อ พร้อมทั้งช่วยเขาพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพ ขณะเดียวกันก็ให้ความรู้ผ่านวิทยุครอบครัวข่าวในรายการ Modern Health เป็นเวลา 1 ชั่วโมงทุกวันเสาร์ ช่วงแปดโมงถึงเก้าโมงเช้า เราได้เผยแพร่ความรู้ใหม่ ๆ เพราะตอนนี้ในเรื่องสุขภาพเฉพาะบุคคลเป็นเทรนด์อนาคต มีแนวคิดว่า อาหารสุขภาพของเพื่อนอาจเป็นยาพิษของเราก็ได้ กินอาหารแบบกินแต่พืชอาจจะรักษาโรคได้บางช่วง แต่นานไปก็จะขาดอาหาร เลยจำเป็นที่จะต้องมีความเข้าใจว่าแต่ละคนแต่ละช่วงวัยไม่เหมือนกันจริง ๆ”
เหตุผลที่ทำให้คุณเอื้อมพรหันมาศึกษา และสนใจเรื่องของอาหารสุขภาพอย่างจริงจัง เกิดจากสองสาเหตุ หนึ่งคืออาการป่วยที่ไม่มีสัญญาณเตือนเมื่อ 12 ปีที่แล้ว และสอง ความศรัทธาในพลังของอาหาร
“ดิฉันเคยไม่สบาย เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะ 2 ตั้งแต่ตอนอายุ 39 ปี หมอบอกว่าต้องตัดก้อนเนื้อ ต้องคีโม แต่ว่าเราอยากลองใช้อาหารรักษาโรคก่อนสัก 2-3 เดือน ถ้าไม่ได้ผลค่อยไปรักษาแผนปัจจุบัน แต่มันได้ผล เพราะว่าอาหารที่เรารับประทานสมัยนั้นเป็นอาหารที่ถูกแนะนำโดยนิตยสารที่เป็นบรรณาธิการบริหารอยู่ในช่วงนั้น เพียงแต่ว่าเราต้องเข้าใจอยู่อย่างหนึ่งว่ามันเหมาะกับเรา เพราะมีคนจำนวนหนึ่งที่ไปกินเหมือนกันแล้วไม่ได้ดีขึ้น ไม่ได้หาย แต่เราหาย อาจจะมาจากเราเข้มงวดกับตัวเองมาก เป็นคนทำอะไรทำจริง ถ้าให้ทำ 100 จะทำ 150 เช่น กินปลาได้ เราไม่กิน กินไข่ได้บ้าง เราไม่กิน จะกินแต่ข้าวกับผัก ๆ เท่านั้น กินข้าวกับผักน้ำพริก กินอย่างอื่นก็ได้นะ เขาก็มีหลากหลายแต่เราไม่กิน
“กินแบบนี้จนก้อนมะเร็งต่อมน้ำเหลืองยุบ ก็ใช้เวลาประมาณ 3 เดือน แต่กินข้าวกับผักนั้นกินต่อเป็นปี ๆ กินจนไปตรวจแล้วไม่มีค่ามะเร็ง แล้วค่อยกลับมากินไข่บ้าง แต่ก็ยังอยู่ในแนวนั้น กินปลากินกุ้งบ้าง แล้วจะไปไหน ไปทำงาน ก็ต้องหิ้วน้ำมันสุขภาพของเราไปเอง สมัยนั้นเราจะมีตะกร้าของเรา ไปไหนต้องมีข้าวกล้องกระป๋อง แล้วเป็นคนกินง่าย ไม่ต้องอุ่นก็ได้ เปิดกระป๋องมาก็ใส่จาน เราทำเต็มที่ แล้วเราจะ don't care ใครจะกินอะไรก็กินไป เรากินของเรา”
“มันเป็นจุดหักเหครั้งใหญ่ในชีวิต เพราะว่าสมัยนั้น ‘มะเร็ง’ คือความตาย ยังจำได้ว่าตอนกำลังให้น้ำเกลืออยู่แล้วมองเพดาน เฮ้ย จะตายแล้วนี่ ทำไงดีวะ ถ้าตายแล้วแม่จะอยู่ยังไง ลูกยังวัยรุ่นอยู่เลย จะอยู่กันยังไง มันตายหมดแน่เลย เอาล่ะ อย่าเพิ่งคิดมาก เผื่อไม่ตาย แล้วจะยังไง แต่สิ่งหนึ่งที่ช่วยได้มากเลยก็คือ ไม่เป็นไร ก็อยู่กับปัจจุบันไป วันนี้ยังไม่ตายนี่ เจ้านายก็เลิกบ่นเราแล้วเพราะว่าเขารักเรา เขาอยากให้เราหาย แม่ก็นอนไม่หลับ จะกินอะไรลูก แม่ทำให้ทุกอย่าง แม่ทำกับข้าวไม่เป็นหรอกนะ เราก็ทำไม่เป็นหรอกนะ แต่ว่าจะกินอะไรได้บ้าง แม่ถามข้าวกล้องใช่ไหม ที่บ้านเปลี่ยนหมดเลย ทุกคนกินข้าวกล้องกันหมด เพราะว่าหุง 2 หม้อแล้วมันลำบาก แม่เลยหุงหม้อเดียวแล้วก็กินด้วยกัน นั่นคือรักเรา”
ถ้าถามว่าคุณเอื้อมพรยืนหยัดผ่านช่วงเวลานั้นมาได้อย่างไร “ความรัก” ของครอบครัวและคนรอบข้างคือคำตอบแรก ๆ พลังรักยิ่งใหญ่นี้เองผลักดันความเป็นไปได้ที่อาจจะไม่มากให้เพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ แต่แน่วแน่
“เมื่อเราสัมผัสความรักได้ งั้นเราก็ต้องรักตัวเองสิ แล้วเราจะทำยังไง เราก็ต้องเผชิญหน้ากับมัน เรากลัวตายใช่ไหม ก็รักษาสิ ถ้ากินสูตรนี้มันทำให้มีชีวิตอยู่ได้ก็กินไปสิ 150% เอาให้เซลล์มะเร็งมันช็อกไป อาการของโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมันทำให้เราเหนื่อย ต้องหลับตอนกลางวันบ่อย ๆ บางวันเราเดินไม่ไหวเลย มีอยู่วันหนึ่งเดินจากที่จอดรถมาออฟฟิศ เราต้องหยุดเดินหลายรอบมาก เหนื่อยมาก ทำไงดี งั้นเดินจงกรมแล้วกัน เราไม่ค่อยได้ปฏิบัติธรรมเท่าไหร่ ตอนป่วยปฏิบัติธรรมไปเลยแล้วกัน พอคิดได้ว่าจะเดินจงกรม เราก็รับรู้ความร้อนของพื้น รับรู้ความหนักของเท้าเราต่อพื้น เมื่อการเดินจงกรมเริ่มเหนื่อย งั้นถ่ายรูปดอกไม้เล็ก ๆ เริ่มถ่ายรูปของเล็ก ๆ ก็เลยมีเป้าหมายใหม่ งั้นเรามองธรรมชาติ มองความงามสิ ทำให้เราลืมความตายได้
“ความเหนื่อยในกายเรา เราต้องระวังจิต จิตต้องไม่ป่วย จิตต้องไม่วิ่งพล่าน มิเช่นนั้นจะเพิ่มความเหนื่อยให้กาย และเมื่อระวังจิต เราจะโฟกัสแต่งานตรงหน้า ซึ่งทำให้พบว่า จิตนิ่ง การงานที่เราทำ ช่วงที่ป่วย ไม่ได้เสียคุณภาพเลย”
“สำหรับสาเหตุที่สอง เราศรัทธาในเรื่องอาหาร เพราะเราสามารถปรับอาหารจนรักษาโรคได้ ประกอบกับช่วงนั้นเราทำงานบรรณาธิการนิตยสารสุขภาพ เราต้องตอบทุกคำถามให้ได้ ต้องหาคำตอบว่าอะไรที่มันจริง ทีนี้ความอะไรที่มันจริงก็จะเป็นเรื่องอยากไปเรียนหาความจริง ขณะเดียวกันก็อยากต่อยอดจากสิ่งที่เราเป็น ซึ่งบังเอิญว่าเป็นคอร์ส FNTP นี่แหละ เรียน 1 ปี โดยมี course work ออนไลน์ได้ และไป Practice ที่ออสเตรเลีย 3 ครั้ง คอร์สนี้ดึงเราลึกลงไปในวิทยาศาสตร์ด้านอาหาร คือมันเป็นเรื่องของร่างกายเรากับความต้องการของอาหารที่แตกต่างกัน โดยร่างกายเราส่งสัญญาณตลอดเวลาว่า ต้องการอะไร ไม่ต้องการอะไร ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราแพ้นม มันจะมีความรู้สึกบางประการเกิดขึ้น บางคนง่วง บางคนกินกาแฟใส่นมแล้วทำไมยังอยากนอนหลับ แต่พอเอานมออกไปจากกาแฟก็ไม่มีอาการนั้นอีกแล้ว ร่างกายมันบอกอยู่ตลอดเวลา แค่เราไม่รู้ว่าอาหารที่กินก่อนหน้านี้แหละทำให้เกิดปฏิกิริยาบางอย่างในร่างกายเรา
“ส่วนภาวะของโรคสงบมาตั้งแต่เริ่มรักษา เมื่อตรวจหลังจากรักษาไปปีกว่าคือไม่มีค่ามะเร็งแล้ว แต่เราก็คอยสังเกตตัวเอง เช่น กินขนมวันละคำสองคำ ติดต่อกัน 3 – 4 วัน จะเกิดไมเกรนขึ้นมาเลย ซึ่งก็เป็นสัญญาณให้เราต้องระมัดระวังสุขภาพอย่างมาก”
ทุกวันนี้คุณเอื้อมพรบอกตัวเองว่าต้องอยู่กับปัจจุบันให้ได้ ต้องเอาวิชาเรียนทั้งหมดที่ดีต่อชีวิตเรามาใช้ เพราะไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะมีอยู่ไหม เราจะไปคิดเรื่องของคนอื่นทำไม
“ร่างกายตอนนี้แข็งแรงกว่าเดิมค่ะ เป็นวัวกระทิง รู้สึกว่าแรงเยอะ พลังเยอะ แต่ว่าต้องมีแสงตะวันนะ ถ้าไม่มีแสงตะวันนี่ดับเลยนะ หมายความว่าตื่นขึ้นมาจะกระฉับกระเฉงมาก คือร่างกายทำงานตามแสงตะวัน เช้าขึ้นก็อยากทำโน่นทำนี่ ทำทั้งงานของ Sukina งานกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ งานคอนเท้นต์ งานการดูแลสุขภาพลูกค้าโปรแกรมอาหารสุขภาพเฉพาะบุคคล จดจ่อดี สมาธิดี แต่อย่าให้พระอาทิตย์ตกดินนะ แรงหาย ร่างกายดับ อยากพักเลยค่ะ”
ช่วงเวลาพระอาทิตย์ขึ้นสำหรับเธอเหมือนเป็นการได้รับแสงตะวันมาฟื้นฟูชีวิต ได้ย้ายที่จากกรุงเทพฯ ไปนอกเมือง รู้สึกว่ามีแรงที่จะทำได้ เมื่อทำได้ก็จะเกิดความท้าทายตามมาเรื่อย ๆ
“เราไม่เชื่อว่าสิ่งที่อยู่กับเราปัจจุบันนั้นมีอยู่จริง เราเลยเป็นคนไม่มีองค์ ไม่มีอัตตา มีแต่ความรู้ตัวว่า ไม่มีอะไรเป็นของเรา ต้องปล่อยวางให้เร็ว แม้ว่าตอนทำงานบริหาร จะออกแนวเป๊ะ มีความ aggressive หน่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงเราไม่มีความรู้สึกว่า เราอยากได้อะไรมากกว่าการที่เราได้มีชีวิตอยู่ ได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำ และได้เป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนอะไรบางอย่างของสังคมนี้ และยังมีแรงมีศักยภาพที่จะช่วยขับเคลื่อนต่อไป ใครจะรู้จักหรือไม่รู้เราก็ได้ แต่เราทำแบบนี้แหละ”
นิยาม “อยู่ให้มีความสุข จากไปอย่างมีความหมาย” ของคุณเอื้อมพรจึงเรียบง่ายกระทบใจอย่างยิ่ง
“การอยู่ให้มีความสุข และจากไปอย่างมีความหมายสำหรับดิฉันคือ การอยู่อย่างมีเป้าหมายใหญ่ ๆ ทำเพื่อสุขภาพคนไทย เพื่อสิ่งแวดล้อม ทำแต่ละนาทีให้มี “ความหมาย” อย่างที่ควรจะเป็น เอาเข้าจริง “ความหมาย” ที่ว่านั้นน่าจะเป็นการละวาง การไม่เป็นเจ้าของ และการกำจัดขัดเกลาจิตใจตัวเองให้พ้นจากกิเลสอันมัวหมอง สุดท้ายเราจะไม่มีคำถามกับตัวเราเอง ไม่มีความเสียดายหรือเสียใจอะไร เพราะเรามีชีวิตอยู่และทำสิ่งนี้ทั้งหมดแล้ว
“ถ้าเราจะจากไปทำไมต้องไปอย่างมีความทุกข์ ก็เราไม่มีอะไรต้องห่วงอีกแล้วนี่นา”