- คลังความรู้
- การใส่ท่อช่วยหายใจจำเป็นแค่ไหน
การใส่ท่อช่วยหายใจจำเป็นแค่ไหน
การใส่ท่อช่วยหายใจให้ผู้ป่วยมีความจำเป็นในกรณีไหน และแนวทางสำหรับการดูแลผู้ป่วยในระยะท้าย มีหลักการอย่างไรในการจะใส่ หรือไม่ใส่ท่อช่วยหายใจ
เรื่องโดย นอ.นพ.พรศักดิ์ ผลเจริญสมบูรณ์
มีผู้ป่วยแจ้งว่า ไม่ขอใส่ท่อช่วยหายใจ เพราะไม่อยากทรมาน ผมจึงจะขอแชร์วิธีการนี้เผื่อมีประโยชน์
ก่อนอื่นเรามาดูจุดประสงค์ของการใส่ท่อช่วยหายใจกันก่อน
หนึ่ง เพื่อการรักษา เช่น รักษาโรคที่เกี่ยวกับปอด การผ่าตัดที่ต้องวางยาสลบ หรือทำให้การหายใจเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย เช่น การติดเชื้อ ฯลฯ
สอง เพื่อการยื้อชีวิต
สาม เพื่อดูแลแบบเร่งด่วนที่ผู้ป่วยมาถึงมือแพทย์
จริง ๆ แล้วหมอที่ใส่ท่อช่วยหายใจนั้นหวังจะรักษาต่อ หรือบางครั้งเพื่อลดความทุกข์ทรมานของผู้ป่วยที่เกิดจากการหายใจไม่เพียงพอ โดยยังไม่คำนึงถึงว่าผู้ ป่วยเป็นโรคอะไร จะหายหรือไม่ ตัวอย่างคนไข้ที่มาห้องฉุกเฉินที่อาการแย่ลง เพราะความเร่งด่วนแพทย์เวรมักใส่ท่อช่วยหายใจไปก่อนเสมอ
แต่ก่อน การรักษาที่ใส่ท่อช่วยหายใจเป็นของที่ทันสมัย เป็นความรู้และเทคโนโลยีที่เข้าถึงยาก จนทำให้การรักษาหลายอย่าง ก่อนสิ้นสุดการรักษาต้องใช้การใส่ท่อช่วยหายใจ จึงจะถือว่าถึงที่สุดและสุดยอดของการรักษา ต่อมาการใส่ท่อช่วยหายใจเริ่มมีคำถามว่า ถ้าโรคนั้นไม่หาย จะทำให้มีแต่ทุกข์ทรมานโดยเปล่าประโยชน์หรือไม่ แล้วถ้าอย่างนั้นจะใส่ท่อไปเพื่ออะไร
วันนี้เราเรียนรู้ว่าผู้ ป่วยระยะท้ายที่ไม่ใส่ท่อช่วยหายใจ ถ้าไม่มีการวางแผนจะต้องเหนื่อยก่อนตาย แต่เราสามารถบริหารจัดการให้ผู้ป่วยไม่ต้องเหนื่อย หรือทุกข์ทรมานได้ ถ้ามีการวางแผนการรักษาโดยไม่จำเป็นต้องใส่ท่อช่วยหายใจ การที่ผู้ป่วยสักคนหนึ่งที่รู้วาระของตัวเองแล้ว แต่ยังไม่รู้กระบวนการเตรียมตัวตาย เพียงแค่รู้ว่าการใส่ท่อช่วยหายใจมันไม่ได้ทำให้หาย แต่มันต้องทรมาน แล้วเลือกไม่ใส่ท่อช่วยหายใจ การตัดสินใจแบบนี้ก็ยังไม่พ้นความทรมานที่เกิดจากการหายใจไม่พอ ผู้ป่วยจะเหนื่อยจนกระทั่งขาดใจตาย
แล้วแพทย์และผู้ป่วยจะทำอย่างไร ถ้ามีการร้องขอไม่ใส่ท่อช่วยหายใจในวาระสุดท้ายของชีวิต ผมจึงฝากข้อพิจารณาดังต่อไปนี้จากประสบการณ์ที่เจอผู้ป่วยเหล่านี้มา
ก่อนอื่นต้องตั้งเป้าหมายการรักษาก่อนว่า “การตายดี “ตายสบายตามที่ผู้ป่วยต้องการคืออะไร เรายังให้ความสำคัญกับสิทธิผู้ป่วย ทีมดูแลต้องสืบหาเจตจำนงค์ของผู้ป่วยให้ได้ว่า ผู้ป่วยต้องการจากไปอย่างสงบ ไม่เหนื่อย ไม่ทุกข์ทรมาน เพราะเป็นกุญแจสำคัญในการวางแผนการรักษา
กระบวนการตายแบบธรรมชาติเป็นทางที่ง่าย ทุกคนเข้าถึงได้ ไม่ว่าจะรวยหรือจน แต่ถ้าใช้กระบวนการตายแบบธรรมชาติแล้วยังมีอาการหลงเหลืออยู่ ก็มียามอร์ฟีนและยานอนหลับ เพื่อให้ผู้ป่วยสบายขึ้นและจากไปอย่างสงบ
ในผู้ป่วยที่เข้าสู่วาระท้ายของชีวิต ถ้ามีการวางแผนพูดคุยกับผู้ป่วยถึงแนวทางการตายดีแล้ว ก็จะง่ายสำหรับแพทย์ในการบริหารจัดการและวางแผนการรักษา แต่ปัญหาปัจจุบันที่ทำให้การตายดีของผู้ป่วยไม่ประสบผลสำเร็จในบางราย เพราะญาติทั้งสามี ภรรยา บุตร พ่อแม่ ไม่ยอมรับที่จะให้ผู้ป่วยรับรู้ความจริงนี้ และไม่ให้สิทธิผู้ป่วยในการเลือกวิธีการตายดี การวางแผนจึงเป็นไปได้ยากในผู้ป่วยกลุ่มนี้
ในผู้ป่วยระยะท้าย โรคที่ผู้ป่วยเป็นสามารถทำนายได้ว่า ผู้ป่วยจะต้องเหนื่อย หายใจลำบากก่อนตาย เราจึงต้องวางแผนการรักษาโดยให้ความสำคัญที่ความต้องการของผู้ป่วย โดยมีครอบครัวเป็นตัวประกอบ (ผู้ป่วย + Family meeting) ว่า การตายดีมีหลักในการปฏิบัติดังนี้
...ให้ผู้ป่วยเลือกแนวทางของการตายดีที่ผู้ป่วยต้องการ ไม่เหนื่อย ไม่ทรมาน โดยเข้าใจกระบวนการจากไปแบบธรรมชาติ คือ เมื่อผู้ป่วยเริ่มเบื่อ หรือเริ่มไม่สามารถรับอาหารและน้ำได้ ก็ค่อย ๆ งดไป และการยอมรับไม่ยื้อชีวิตถ้าผู้ป่วยติดเชื้อ
...เมื่อร่างกายไม่สามารถกินหรือดื่ม ก็จะไม่ใส่สายยางให้อาหารทางจมูก ไม่ให้อาหารและน้ำทางน้ำเกลือ ส่วนการยอมรับการติดเชื้อก็จะไม่เจาะเลือด ไม่ตรวจหาเชื้อ ไม่ให้ยาฆ่าเชื้อ หรือทำหัตถการอื่น ๆ ที่ทำให้ผู้ป่วยทรมาน ทั้งสองภาวะนี้จะทำให้ร่างกายเสียสมดุลของสารเคมี เกลือแร่ และความดันเลือดตก ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยค่อย ๆ ง่วงซึม และสมองจะหมดความรับรู้สึกก่อนที่ปอดจะพัง และสร้างความเหนื่อยความทุกข์ทรมานให้กับผู้ป่วย
โดยปกติ ผู้ป่วยเหล่านี้จะเริ่มมีอาการเบื่ออาหาร หรือติดเชื้อก่อนจะมีอาการเหนื่อย มนุษย์โชคดีที่ธรรมชาติมีกระบวนการให้สมองหมดการรับรู้ก่อนอาการเหนื่อยจะเกิดขึ้นจากปอดถูกทำลาย ถ้าผู้ป่วยเลือกแนวทางการจากไปแบบธรรมชาติ สมองก็มักจะหลับไปโดยไม่รับรู้ความทุกข์ทรมาน แต่ถ้าญาติยังไม่ยอมให้ผู้ป่วยจากไป และทำการยื้อชีวิต สมองก็ไม่หยุดรับรู้ความเหนื่อยจากปอดที่เสียไปเรื่อย ๆ จนร่างกายทนไม่ไหวและเสียชีวิตไปในที่สุด
ผู้ที่ร้องขอไม่ใส่ท่อช่วยหายใจ จึงต้องเข้าใจกระบวนการนี้เพื่อการจากไปที่ไม่ทรมาน ถ้าไม่อยากใส่ท่อช่วยหายใจ แต่ไม่ยอมรับรู้กระบวนการจากไปอย่างธรรมชาติ ผู้ป่วยก็จะเหนื่อยจนขาดใจ ดังนั้น การพูดคุยวางแผนการตายดีจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทำ และยอมรับกันทั้งผู้ป่วยและครอบครัว
ข้อสรุป: ถ้าผู้ป่วยระยะท้ายไม่อยากใส่ท่อช่วยหายใจและไม่อยากทรมาน มีแนวทางดังนี้
หนึ่ง ผู้ป่วยยอมรับความจริงและวางแผนการตายดี
สอง เมื่อผู้ป่วยเบื่ออาหาร กินหรือดื่มอาหารทางปากไม่ได้ ก็งดน้ำและอาหารนั้น
สาม ถ้าผู้ป่วยมีไข้ติดเชื้อ ไม่ต้องให้ยาปฏิชีวนะ เพียงแค่รักษาตามอาการเพื่อให้คนไข้สุขสบาย
สี่ ผู้ป่วยจะง่วง ซึม บางรายอาจมีหลง เพ้อ หลับ และหมดสติในที่สุด
ห้า ถ้าผู้ป่วยมีอาการทางปอด คือ เหนื่อยหอบก่อนสมองจะหยุดทำงาน แพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยระยะท้ายจะพิจารณาให้ยามอร์ฟีนและยานอนหลับ เพื่อลดและสงบอาการเหล่านั้น ผู้ป่วยก็จะสามารถหลับได้
หก ในกระบวนการตาย ผู้ป่วยบางรายอาจมีชัก กระตุก หรือหายใจหอบ ขอให้ญาติที่ดูแลผู้ป่วยได้เข้าใจกระบวนการตายธรรมชาติว่า สามารถมีอาการเหล่านี้ได้ แต่ผู้ป่วยไม่ได้รับรู้แล้ว
ผมไปเยี่ยมแม่เพื่อน อายุ 90 ปี ที่โรงพยาบาลกรุงเทพระยอง ท่านมีโรคประจำตัวทุกอย่างที่คนอายุ 90 พึงจะมี ท่านบริจาคเงินให้โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์หลายล้านบาท ท่านมีปีติกับการได้ช่วยเหลือสังคม และทำนุบำรุงพระศาสนาอย่างมาก ช่วงบั้นปลายชีวิตท่านก็ยังนั่งรถเข็นมาบริจาคทรัพย์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์อีกหลายรายการให้กับโรงพยาบาล
ท่านเข้ารับการฟอกเลือดและสำลักอาหารขณะพักฟื้น จนทำให้ท่านหมดสติ และต้องทำการกู้ชีพขึ้นมาแต่การรับรู้ไม่กลับคืน การรักษาเร่งด่วนได้ใส่ท่อช่วยหายใจและทำการรักษาแบบพยุงชีพ เพื่อนผมได้ติดต่อมาบอกอาการของแม่ ผมจึงไปเยี่ยม และคุยกับลูก ๆ (มีลูกชายเป็นแพทย์) ถึงแนวทางที่ผมพึงปฏิบัติในคนไข้กลุ่มนี้ โดยแนวทางนี้ลูก ๆ และสามีต้องยอมรับความจริงว่า โอกาสที่คุณแม่จะรอดและมีสติกลับมานั้นน้อยมาก หรือแทบไม่มีเลย (ส่วนตัวผมไม่ต้องการเห็นคนไข้ตื่นกลับมาในสภาพที่ต้องเป็นคนไข้ติดเตียงที่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้เลย เพราะถ้าการรับรู้กลับมาคนไข้จะต้องทุกข์ทรมานอย่างมากกับสภาพที่เป็นอยู่)
ลูก ๆ ไม่ต้องการให้แม่ทรมาน และถ้าแม่จากไปตามวิถีธรรมชาติอย่างไม่ทุกข์ทรมาน ลูก ๆ ก็จะยินดี ผมจึงพูดคุยรายละเอียดและวางแผนการรักษาไว้เพื่อให้ลูก ๆ พิจารณาดังนี้
หนึ่ง ถอดสายยางให้อาหารทางจมูก
สอง หยุดการให้น้ำเกลือและแอลบูมิน (โปรตีน) ทางเส้นเลือดดำ
สาม หยุดยาฆ่าเชื้อและยาอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เพื่อลดอาการทุกข์ทรมาน
สี่ เนื่องจากใส่ท่อช่วยหายใจไปแล้ว จึงปรับโหมดให้คนไข้ต้องหายใจเอง โดยปรับลดปริมาณออกซิเจนเหลือ 21% เท่ากับธรรมชาติ เครื่องช่วยหายใจจะช่วยเพียงแค่เพิ่มแรงดันอากาศเข้าปอดให้คนไข้หายใจได้ดีขึ้น แต่ถ้าคนไข้หยุดหายใจเครื่องจะไม่ช่วยหายใจ คนไข้ก็จะนิ่งไปอย่างสงบ
ห้า หยุดยากระตุ้นหัวใจ และจะไม่ทำการกู้ชีพขึ้นมาอีก
หก ลดการวัดสัญญานชีพที่อาจก่อให้เกิดความเจ็บปวด เช่น การวัดความดัน วัดความเข้มข้นของออกซิเจน เหลือเพียงสังเกตการหายใจเท่านั้น ส่วนคลื่นสัญญานไฟฟ้าหัวใจ EKG คงติดไว้ตามเดิม
เจ็ด ไม่ทำการเจาะเลือด และตรวจทางห้องปฏิบัติการใด ๆ ทั้งสิ้น
แปด ถ้าคนไข้หยุดหายใจ จะรอคลื่นไฟฟ้าหัวใจหยุดตามมา โดยไม่ทำการยื้อชีวิตใด ๆ ทั้งสิ้น
ลูก ๆ เห็นด้วยและยินดีกับแนวทางนี้ จะรอคนไข้จากไปอย่างสงบ โดยมีลูก ๆ หลาน ๆ สลับกันดูแล
คำถามยอดฮิตจากญาติของคนไข้กลุ่มนี้ คือ คนไข้จะจากไปเมื่อไร ผมบอกว่า ปล่อยให้ธรรมชาติทำงานของเขาเอง อย่าไปตั้งเป้าหรือคาดหวัง เพราะมันจะทุกข์ใจโดยไม่จำเป็น