- คลังความรู้
- วิชาชีวิตจากการบอกลา
วิชาชีวิตจากการบอกลา
เรียนรู้การมีชีวิตอยู่อย่างมีความหมายเพื่อวันสุดท้ายที่จะมาถึง
เรื่องโดย ทีม Content ชีวามิตร
การจากพราก ความสูญเสีย เป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนรู้ดีว่า ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ในตลอดชีวิตของเรา เช่นเดียวกับประสบการณ์การสูญเสียคุณวิฑูรย์ สามีผู้เป็นที่รักของ คุณจุฑาพร เตชะไพบูลย์ ได้กลายเป็นวิชาชีวิตบทสำคัญที่เปลี่ยนมุมมองของเธอต่อการเตรียมชีวิตจนถึงลมหายใจสุดท้ายไปอย่างสิ้นเชิง
“คุณวิทูรย์ป่วยเป็นมะเร็งท่อน้ำดีตั้งแต่ประมาณสี่ปีที่แล้ว เริ่มแรกคิดว่าเป็นโรคกรดไหลย้อน พอไปรักษาก็ไม่หายเสียที เลยตัดสินใจย้ายโรงพยาบาลและตรวจอย่างละเอียด ก็พบว่าเป็นมะเร็งที่ท่อน้ำดีและผนังช่องท้อง แต่คุณหมอแจ้งว่าผ่าตัดไม่ได้ จึงรักษาด้วยการสอดท่อเพื่อทำหน้าที่แทนท่อน้ำดี และให้คีโม
ตลอดการรักษา ครอบครัวเราพยายามหาหมอที่เก่งที่สุดทางด้านนี้ เราพาคุณวิฑูรย์ไปรักษาและเริ่มให้คีโมที่ MD Anderson เมือง Houston สหรัฐอเมริกา กลับมาไทยก็รักษาและให้คีโมต่อกับ รศ.ดร.นพ.วิโรจน์ ศรีอุฬารพงศ์ ซึ่งคุณวิฑูรย์ไม่มีอาการแพ้คีโมเลย ยังใช้ชีวิตปกติเหมือนคนที่ไม่ได้ป่วยอะไร
จนประมาณเดือนกันยายน 2563 คุณวิฑูรย์มีอาการติดเชื้อรุนแรง ต้องเข้าไอซียู แต่หายกลับมาได้ ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 หมอพบว่ามะเร็งลามไปที่ตับ และวันที่ 13 มีนาคมที่ผ่านมา คุณวิฑูรย์รู้สึกอ่อนเพลียหลังจากให้คีโม ตั้งใจจะไปให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาล แต่กลับมีอาการติดเชื้อค่อนข้างรุนแรงจนต้องย้ายเข้าไอซียู ออกจากห้องไอซียูก็ต้องอยู่โรงพยาบาลต่อ รวมประมาณเดือนกว่า ครั้งสุดท้ายหมอจะให้เข้าไอซียูอีก แต่คุณวิฑูรย์ไม่ยอม สุดท้ายหมอแจ้งกับเราว่า ไม่มียาอะไรที่จะรักษาได้แล้ว เพราะร่างกายดื้อยาและไม่สามารถฟื้นกลับมาได้ เรียกว่าหมดหนทางแล้ว ทำได้แค่พยุงอาการไป
ตอนนั้นทางโรงพยาบาลแนะนำหมอทางด้าน Palliative care คือ ผศ.พญ.ลักษมี ชาญเวชช์ มาพูดคุยในแนวทางการดูแลเพื่อให้คุณวิฑูรย์รู้สึกสุขสบายที่สุด ยอมรับว่าตอนแรกไม่เข้าใจเลยว่า การรักษาแบบนี้คืออะไร แต่คุณวิฑูรย์บ่นอยากกลับบ้านมาก เราก็ลังเลและกังวลว่า กลับบ้านแล้วจะดูแลอย่างไร ถ้าไม่มีหมอตามมาดูแลที่บ้าน เกิดอะไรขึ้นจะทำอย่างไร กลัวว่าจะจัดการไม่ถูกและแก้ปัญหาไม่ได้ จนได้คุยกับคุณน้า เพื่อนคุณแม่ แนะนำให้ติดต่อเยือนเย็น จึงได้โทรหาคุณหมอนาฏ ฟองสมุทร ซึ่งให้คำปรึกษาทุกอย่างดีมาก จัดทีมมาประชุมกับทางโรงพยาบาล
ในวันนั้นคุณหมออิศรางค์ นุชประยูร (เยือนเย็น) ถามคุณวิฑูรย์ว่า ถ้ากลับแล้วอยู่บ้านได้เพียงหนึ่งวันจะกลับไหม คุณวิฑูรย์ตอบว่า กลับ ทุกคนจึงจัดการเตรียมทุกอย่างให้พร้อม เพื่อพาเขากลับบ้านตามที่ต้องการ
คุณหมอลักษมีจัดเตรียมเรื่องอาหาร ยา และอุปกรณ์ในการดูแลที่บ้าน ส่วนทีมเยือนเย็นมารอรับคุณวิฑูรย์ที่บ้าน ครอบครัวเรารู้สึกสบายใจขึ้นมาก ตอนนั้นไม่ได้คิดว่า เขาจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน คิดแค่ว่าทำเวลานี้ให้ดีที่สุดก็พอ แต่ลึก ๆ ก็ยังมีความหวัง อยากให้เขาอยู่กับเราไปนาน ๆ
เมื่อกลับมาบ้าน เรายึดการดูแลเรื่องยา และการจัดการอาการต่าง ๆ ตามที่คุณหมอลักษมีวางแผนให้ โดยทีมเยือนเย็นมาเสริมในส่วนของการให้คำปรึกษา สอบถามได้ตลอด แม้จะดึกแค่ไหน หรือเป็นวันหยุด และมีคุณหมอมาดูให้ที่บ้าน ทั้งคุณหมออิศรางค์และคุณหมอนาฏมีบทบาทมากที่ช่วยให้ครอบครัวมั่นใจในการดูแลคุณวิฑูรย์ที่บ้านมากขึ้นมาก
ช่วงของการดูแลที่บ้าน คุณวิฑูรย์มีความสุข เขาไม่ต้องนอนบนเตียงคนป่วยตลอดเวลา พี่ ๆ ของเขาได้มาเยี่ยม ถ้าอยากลงจากเตียง หลานชายก็มาอุ้ม ได้มานอนหน้าทีวี ดื่มน้ำส้มที่เขาชอบมาก กินไอศกรีม ซึ่งเป็นสิ่งเราที่ไม่สามารถทำที่โรงพยาบาล แต่พออยู่บ้านเขาได้ทำทุกอย่างที่อยากทำ ลูก ๆ นั่งจับมือกับพ่อ เรามีหมาสามตัว หมาก็มาอยู่ใกล้ ๆ เขามีความสุขมาก และการที่เราได้ดูแลเขาแบบนั้นก็มีความสุขไปด้วย จากที่ก่อนออกจากโรงพยาบาล หมอบอกว่าอาจอยู่ได้อีกเพียงวันสองวันเท่านั้น แต่คุณวิฑูรย์กลับมาอยู่บ้านในช่วงสุดท้ายได้ถึง 9 วัน
ในวันที่เขาจากไป เราอยู่ด้วยกันพร้อมหน้า ทุกคนสงบนิ่งมาก พวกเราจับมือคุณวิฑูรย์ไว้จนนาทีสุดท้าย ลูกทั้งสองคนก็แสดงให้เห็นว่าเข้มแข็ง ทำให้พ่อเห็นว่าไม่ต้องห่วง เพื่อให้พ่อจากไปอย่างสบายใจที่สุด
จากไม่เคยรู้จัก Palliative Care มาก่อนเลย แต่การดูแลคุณวิฑูรย์ตามแนวทางนี้ ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ในทางการแพทย์ Palliative Care ไม่ได้ยัดเยียดการรักษาที่ไม่จำเป็น ทำให้เราเข้าใจธรรมชาติของร่างกาย ช่วงสุดท้ายคุณวิฑูรย์กินน้อยมากแต่เขาก็อยู่ได้ เหมือนกับที่หมอบอกว่า ในวาระสุดท้าย ร่างกายไม่ต้องการอะไรมากแล้ว มันจะจัดการของมันเอง
ในแง่ของจิตใจ Palliative Care ทำให้ชีวิตของคุณวิฑูรย์และครอบครัวเรามีคุณภาพและมีความสุข การที่เขาจากไปโดยได้บีบมือเราจนลมหายใจสุดท้าย มันเป็นพลังใจให้กับเรามาก ๆ เป็นความรู้สึกที่ดีมาก ครอบครัวได้มีเวลาอยู่ด้วยกัน ซึ่งดีมากจนอธิบายไม่ถูกว่าดีอย่างไร มันดีกว่าการพยายามยื้อเขาอยู่ในโรงพยาบาลจริง ๆ
อีกเรื่องหนึ่งที่เปลี่ยนมุมมองต่อการเตรียมตัวสำหรับชีวิตระยะท้าย หรือความตาย คือที่ผ่านมา คุณวิฑูรย์เป็นคนใช้ชีวิตแบบไม่เคยเตรียมพร้อมเรื่องความตาย ครอบครัวเราไม่เคยคุย ไม่เคยพูดถึง หรือเตรียมเรื่องนี้มาก่อน แต่พอมาเกิดกับเรา ทำให้เห็นว่าทุกคนสามารถเตรียมและมีสิทธิเลือกได้ ซึ่งมันดีต่อทั้งตัวคนคนนั้นเอง และคนที่เหลืออยู่ที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างมั่นคงและไม่กลัว ทำให้กล้าเผชิญกับความตาย เพราะก่อนหน้านี้เวลาพูดถึงความตายก็จะกลัว แต่เมื่อเข้าใจแล้วก็เห็นความสำคัญของการเตรียมชีวิตเอาไว้ล่วงหน้า
ตอนนี้ตั้งใจจะเขียนสมุดเบาใจเตรียมไว้ให้ลูก อย่างน้อยให้เขารับรู้ว่า เราไม่ต้องการให้ใครมายื้อชีวิต ต้องการให้เป็นไปตามกรรม ตามธรรมชาติของเรา นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุด”
