- คลังความรู้
- ดูกาย แลใจ
ดูกาย แลใจ
ความผูกพันที่เป็นน้ำหล่อเลี้ยงใจผู้ชรา กับการเรียนรู้ในสัจธรรมของชีวิต
เรื่องโดย ทีม Content ชีวามิตร
ระหว่างวัยสองวัย มีรอยต่อ
มีความรักถักทอแบบ ง่าย-ง่าย
โดยสัจจะวัยชรา คือคลี่คลาย
ดั่งเนื้อเทียนหยดละลายทีละน้อย
.
ระหว่างมือสองมือ ยื่นถือจับ
ช่วยประคับประคองใจไม่ยอมปล่อย
ตาอีกคนคล้ายว่าตั้งตาคอย
ให้อีกคนค่อย-ค่อย ประสานตา
บทกวีนี้ คุณธารา ศรีอนุรักษ์ เขียนขึ้นระหว่างดูแลคุณยายละมูน วัย 95 ปี ผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ระหว่างบรรทัดมีเรื่องเล่าของความผูกพันที่เป็นน้ำหล่อเลี้ยงใจผู้ชรา กับการเรียนรู้ในสัจธรรมของชีวิตที่กำลังร่วงโรยก่อนปลิดปลิวจากโลกนี้ไป
“ยายละมูนเป็นยายของภรรยา แกอยู่คนเดียวกับลุงที่อำเภอบ้านแพ้ว วันหนึ่งยายล้มและปวดท้องอย่างหนัก ลุงไปตามคนข้างบ้านให้โทรบอกโรงพยาบาลมารับ พอตรวจตอนแรกหมอบอกว่าเป็นไส้ติ่ง ผ่าไส้ติ่งเสร็จ หมอพบว่าเป็นเนื้อร้ายที่ลำไส้ด้วย แต่ก็บอกว่าไม่เหมาะจะรักษามะเร็ง ด้วยอายุและอาการของโรค จึงให้กลับไปพักฟื้นที่บ้าน แต่ลูกสาวยายอีกคนอยู่เมืองนอกอยากให้รักษาต่อกับหมอเฉพาะทางที่โรงพยาบาลจุฬาฯ พอดีบ้านผมอยู่กรุงเทพฯ เลยเสนอว่ามาอยู่บ้านผมก็ได้
พอรับยายมาดูแล เราก็เทียวไปเทียวมาโรงพยาบาลประมาณ 5 - 6 รอบ หมอตรวจยายใหม่ตามขั้นตอน จนสุดท้ายลงความเห็นว่า ทำเคมีบำบัดไม่ได้ จะผ่าก็ไม่ได้ เพราะอายุมากแล้ว และมีความเห็นเหมือนโรงพยาบาลบ้านแพ้วคือ ให้กลับไปดูแลเพื่อรอวาระสุดท้ายที่บ้าน
ช่วงดูแลยาย มันมีความลำบากเพราะบ้านเราอยู่วัชรพล ไกลจากโรงพยาบาลจุฬาฯ มาก เวลาพายายไปหาหมอทีต้องจ้างรถพยาบาล หรือรถตู้ เพราะเราไม่มีรถ ค่าใช้จ่ายวันละหลายพัน ไปถึงก็ต้องยกต้องเข็นทุลักทุเล ขั้นตอนการรอก็นานเป็นวัน คนเยอะ และยังติดช่วงโควิดด้วย ตัวยายเองก็แก่มาก ร่างกายไม่ค่อยไหวแล้ว เวลาเกิดอะไรขึ้นที ซึ่งเป็นบ่อยมาก เราไม่รู้เรื่อง ไม่รู้จะทำอย่างไร ต้องพาไปโรงพยาบาลทุกครั้ง มันจึงเป็นเรื่องหนักหนาพอสมควรทั้งการเดินทาง ค่าใช้จ่าย ภรรยาก็ต้องลางานมาช่วย
จนวันหนึ่ง ผมไปงานศพแม่เพื่อนที่ทำงานอยู่ชีวามิตร เพื่อนแนะนำให้พูดคุยกับคุณหมออิศรางค์ที่ไปร่วมงานในวันนั้น ตอนคุยกันครั้งแรก ผมสัมผัสได้ถึงความเมตตาได้ทันที แต่ในใจยังมีความกังวลว่า ถ้าขอให้หมอมาดูยายที่บ้าน หมอจะมาจริงหรือ แล้วจะต้องทำอย่างไรต่อ เลยยังไม่กล้าติดต่อคุณหมอไปทันที
หลังจากวันนั้น ผมทำความสะอาดยายตามปกติเหมือนทุกวัน และพบว่าข้างใต้แผลกดทับมีโพรงลึกเข้าไปในเนื้อก้น จริง ๆ แผลกดทับนี่เป็นมาตั้งแต่บ้านแพ้วแล้ว กับเริ่มมีอาการติดเชื้อ ผมคิดว่าต้องพาไปให้หมอดูเรื่องสายสวนปัสสาวะและแผล ตอนนั้นนึกถึงโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด แต่ติดตรงค่าใช้จ่ายสูงมากเพราะเป็นโรงพยาบาลเอกชน จึงตัดสินใจทักเพื่อนที่เคยแนะนำให้รู้จักกับคุณหมออิศรางค์ ถามว่าหมอจะมาช่วยดูยายได้ไหม เพื่อนบอกให้รีบติดต่อหมอเลย
พอผมโทรหาหมอ หมอก็นัดเวลามาเยี่ยมที่บ้าน พาทีมงานมาด้วย มาตรวจเรื่องการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ พยาบาลก็ช่วยคว้านเอาเนื้อเน่าของแผลกดทับออก ทำความสะอาด และให้คำแนะนำในการดูแล วันนั้นหมอบอกว่ายายชอบกินอะไรก็ปั่นให้กินได้เลย ตอนแรกผมกลัวว่าบางอย่างจะไปแสลงหรือเปล่า แต่หมอรู้ว่าวาระของยายใกล้หมด จึงแนะนำให้ทำทุกอย่างที่ทำให้ยายมีความสุข
จากวันแรกที่หมอมาเยี่ยมบ้าน ผมก็ยังไม่กล้าโทรหาบ่อยเพราะเกรงใจ แต่ทีมเยือนติดต่อและนัดเข้ามาติดตามผลตลอด เอามอร์ฟีน ยานอนหลับมาให้ ช่วงวันสุดท้าย ผมถ่ายรูปส่งไปให้ดู คุณหมอและทีมก็มาเลย ตอนนั้นยายมีอาการสำรอกเอาน้ำสีดำ ๆ ออกมา และจากไม่ค่อยถ่ายก็ถ่ายออกมาเยอะมากเป็นสีดำ ๆ หมอบอกว่ายายธาตุไฟแตก กำลังจะไปแล้ว และยายก็จากไปจริง ๆ ตอนรุ่งของอีกวัน
การดูแลยายในช่วงท้าย ผมได้รับคำแนะนำดีมาก ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยรู้ลำดับอาการของคนป่วยติดเตียงที่เข้าสู่ระยะสุดท้าย ตอนหมอบอกว่ายายธาตุไฟแตก ยังไม่เชื่อว่าเป็นอาการของคนใกล้จะตายจริง ๆ หรือเรื่องแผลกดทับ จากไม่เคยรู้ว่าจะดูแลอย่างไร ก็สามารถทำแผลจากที่มันดูน่ากลัวมาก จนยายดีวันดีคืน ดีจนหายสนิทเลย
ตัวผมเองเคยบวชมานาน เคยอ่าน เคยฟังเรื่องมรณานุสติ แต่ครั้งนี้มันได้เห็นเป็นรูปธรรม ผมไม่เคยต้องดูแลคนป่วยจนเสียชีวิตแบบนี้ พอเราได้เห็น ได้อยู่กับความตายจริง ๆ มันเป็นอย่างที่เขาบอกว่า ความเป็นความตายมันอยู่ที่ปลายจมูก มันเป็นแบบนั้นจริง ๆ ชีวิตคนเรามันเปราะบาง โดยเฉพาะคนชรายิ่งเปราะบางมาก แล้วเรามักประมาทที่จะประคับประคองช่วงสุดท้ายก่อนที่เขาจะจากไป พอได้อยู่ใกล้ชิดกับความตายจึงได้เห็นถึงความไม่เที่ยง แล้วหันกลับมามองชีวิตตัวเอง ทำให้ต้องคิด ต้องเตรียมการไว้
ถ้าวันหนึ่งผมต้องนอนติดเตียง ผมก็ไม่อยากนอนนาน ไม่อยากทรมานนาน ๆ เพราะการนอนติดเตียงมันเป็นภาพที่เรียกว่าเป็นเวทนาของชีวิต เป็นส่วนเกินของชีวิต มันเหมือนผลไม้ที่กำลังจะหลุดจากขั้ว แต่ยังฝืนอยู่ เพื่อให้มันเน่าจนสุดท้ายก็หลุดจากขั้วลงมาอยู่ดี และผมคิดว่าคนที่จะมาดูแลเราก็ลำบาก ไม่อยากให้ใครมาลำบากกับเรานาน ๆ
อีกเรื่องที่ผมเรียนรู้จากไข่นุ้ย ลูกชายตัวเอง เขาเป็นผู้ช่วยที่ดีที่สุดในตอนนั้น คอยช่วยทุกอย่าง ช่วยพลิกตัว เช็ดตัว เทปัสสาวะทิ้ง ไข่นุ้ยเหมือนมาเติมสิ่งที่ผมขาดไป ด้วยไม่คิดว่ายายจะไปเร็ว เลยไม่ได้พูดคุย จับมือ แต่ไข่นุ้ยชอบไปคลอเคลีย เอาหน้าไปยีที่หน้าผาก ที่แก้มยาย ไปจับมือ เล่านิทานให้ยายฟัง ซึ่งมันดีต่อจิตใจของยายมาก ตอนยังพูดได้ ยายจะเรียกหาแต่ไข่นุ้ยทั้งวัน ผมจึงมามองเห็นว่า คนชราไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย แต่ต้องการคนอยู่ใกล้ ๆ มาคลอเคลีย เขาก็มีความสุขแล้ว เราเป็นผู้ใหญ่อาจจะมองอะไรหยาบ ๆ เลยไม่ได้ใส่ใจตรงนี้มาก ไม่เหมือนกับเด็กที่จิตใจเขาละเอียดอ่อนกว่าเรา
เพราะประสบการณ์นี้ ผมจึงได้รู้ว่าต้องรับมือ ต้องดูแล จะใช้คำพูด หรือมีท่าทีกับคนป่วยที่กำลังจะจากไปอย่างไร ไม่ใช่แค่ดูแลร่างกาย และต้องประคับประคองจิตใจให้ดีด้วย”