- คลังความรู้
- มาคุยกันเรื่องเยี่ยมไข้
มาคุยกันเรื่องเยี่ยมไข้
มองอีกมุมจากผู้ (เคย) ป่วย
เรื่องโดย คุณหญิงจำนงศรี หาญเจนลักษณ์
ผู้ที่กำลังอ่านบทความนี้ ส่วนใหญ่อาจจะไม่เคยป่วยหนักจากโรคที่ร้ายแรง หรือเจ็บปวดจากผ่าตัดใหญ่ หรือรับคีโม ฉายแสง ต้องนอนรักษาตัวนาน ๆ หรือเป็นโรคที่ตัวเองก็ไม่แน่ใจว่าจะถึงกับชีวิตหรือไม่ แต่ก็คงเคยไปเยี่ยมคนป่วยที่เป็นอย่างนี้ ไม่จะว่าจะไปด้วยความรัก ความห่วงใย หรือด้วยมารยาท หรือด้วยหน้าที่
แต่มีใครนึกสงสัยอยากรู้บ้างไหมคะ ว่าคนไข้ในสภาพนี้มักจะชอบอะไร หรือไม่ชอบอะไรในคนเยี่ยม อะไรบ้างที่ทำให้รู้สึกดี อะไรที่ทำให้อึดอัด รำคาญ
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ก็มีหมอ พยาบาล คนป่วย ญาติคนป่วย พระสงฆ์ และคนที่สนใจประมาณ 30 คน ตั้งวงกันถึงคุยกันเริ่มจากเห็นพ้องต้องกันว่า ถึงแม้คนเราจะแตกต่างกันด้วยนิสัยใจคอ เพศ พื้นฐาน เชื้อชาติ แต่ก็เหมือนกันตรงที่ไม่มีใครอยากเจ็บ อยากปวด อยากกลัว อยากกังวล หรืออยากเป็นภาระกับใคร อันที่จริงเรื่องนี้ได้มีการศึกษาวิเคราะห์กันมาพอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในแวดวงการดูแลผู้ป่วย แบบที่เรียกกันว่า Palliative care การดูแลผู้ป่วยอย่างประคับประคองให้สุขสบายที่สุดทั้งกายใจ เฉพาะผู้ป่วยที่เป็นโรคที่รักษายากและผู้ป่วยระยะท้าย
สรุปรวมได้ว่า การเยี่ยมไข้นั้น น่าเยี่ยมด้วยใจที่เปิดและพร้อมที่จะฟังมากกว่าพูด ไม่น่าจะซักถามเรื่องราว หรืออาการป่วย เพราะใครมาใครก็ถาม คนไข้บางคนเอือมที่จะต้องเล่าแล้วเล่าอีก ที่ดีที่สุดคือถามว่า “ตอนนี้รู้สึกยังไง” ด้วยความสนใจจริงในความรู้สึกของเขาขณะนั้น (“รู้สึกยังไง” มีความหมายมากกว่า “เป็นไงบ้าง” ซึ่งเป็นคำถามที่ทำให้คนฟังรู้สึกว่าคนถามถามเพราะไม่รู้จะถามอะไร) นอกจากนั้นแล้ว “รู้สึกยังไง” ยังให้โอกาสที่เขาเลือกตอบสั้น ๆ ก็ได้ หรือจะร่ายยาวก็ได้ (คนป่วยบางคนก็ชอบที่จะเล่าเรื่องความเจ็บป่วยของตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างละเอียด ถ้าเขามีแรงและต้องการเพื่อนคุย) ถ้าดูว่าคนไข้ยังไม่อยากจะพูดจะคุยอะไรมาก ก็นั่งเงียบ ๆ ด้วยความรู้สึกอบอุ่นและเป็นมิตร คนเยี่ยมที่ดีจะรู้จักดูจังหวะที่จะลา
คนที่ไปเยี่ยมคนป่วย หยุดมองใจมองอารมณ์ตัวเองสักนิดก็น่าจะดี ดูซิว่ามีอารมณ์ค้างติดมาหรือเปล่า หายใจยาว ๆ ละเอียด ๆ สักสองสามครั้ง ทิ้งเรื่องราวที่ติดพันมาไว้นอกห้องผู้ป่วย ข้าพเจ้าเคยฟังจิตแพทย์ท่านหนึ่งเล่าถึงการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ว่า ผู้ป่วยรับผลจากพลังเมตตาที่แผ่จากคนที่ทำสมาธิที่อยู่ในห้องข้างเคียงได้ ความเครียดของคนเยี่ยม ก็น่าจะเป็นพลังที่ไม่ดีนักกับคนป่วย
คุยกันในวงวันนั้น ได้พฤติกรรมที่คนไข้ไม่ชอบในคนเยี่ยมและคนเฝ้าไข้มาหลายหัวข้อ
• ไม่ชอบให้ คนเยี่ยมมาแนะนำโน่นนี่ด้วยท่าทีที่กดดัน (โดยไม่รู้ตัว) เช่นให้ใช้อาหารเสริมตัวนี้ ยาตัวนั้น สมุนไพรชนิดนี้ หมอทางเลือกคนนั้น ฯลฯ คนไข้มะเร็งบางคนบอกว่า ใครมาใครก็แนะนำจนเครียดไปหมด เกรงใจก็เกรงใจ สับสนก็สับสน เพราะไม่รู้จะเชื่อใคร มิหนำซ้ำผู้หวังดีบางคนยังงอนหรือโกรธซะอีกว่าแนะนำแล้วไม่เชื่อไม่ทำตาม
• ไม่ชอบการถูกบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ เช่น ให้กิน ให้ดื่ม เมื่อไม่อยากกินหรือดื่ม ในกรณีนี้มักจะเป็นญาติสนิท หรือพ่อแม่ ลูกหลาน
• ไม่ชอบให้คนเยี่ยมถือวิสาสะ ชี้แนะ รุกล้ำความเป็นส่วนตัว เช่น (เรื่องจริงเมื่อเร็ว ๆ นี้) แม่เพื่อนของเด็กที่เจ็บหนักจากอุบัติเหตุ มาเยี่ยมให้ย้ายทิศหัวเตียงที่หันไปทิศใต้ “เพราะมันเป็นทิศคนตาย”
• ไม่ชอบให้คนเยี่ยมเยี่ยมนานเกินไป พูดมากเกินไป หรือมาตั้งนั่งคุยกันเอง เสมือนคนไข้ไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้น
• ไม่ชอบให้คนเยี่ยมถกเถียงกันเองในเรื่องของตัวคนไข้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการดูแลหรือการรักษา อันที่จริงแล้วไม่อยากให้เถียงหรือขัดแย้งกันในเรื่องอะไรทั้งนั้น อยากฟังแต่เรื่องที่ทำให้สบายใจ
• ไม่ชอบให้เอาปัญหามาให้แก้ หรือ มาฟ้องเกี่ยวกับคนโน้นคนนี้
• ไม่ชอบให้เยี่ยมพร่ำเพรื่อไม่เป็นเวลา อยากให้มีการจัดการช่วงเวลาการเยี่ยม เพื่อจะได้ มีเวลาเป็นของตัวเองและเวลาพักผ่อน
การเยี่ยมไข้เป็นความสุขอย่างยิ่งกับคนเยี่ยมได้อย่างที่ข้าพเจ้าเคยเขียนเล่าไว้ในเฟสบุ๊คข้าพเจ้า
เพิ่งตระหนักถึงความสำคัญของผ้าอ้อม
เพิ่งเสร็จจากการจัดคอร์สวิถีสู่ความตายอันสงบ 5 วัน ภายใต้การนำของท่านอาจารย์ไพศาล วิสาโล และคุณวรรณา จารุสมบูรณ์ แห่งเครือข่ายพุทธิกา ที่บ้านน้ำสาน ครั้งนี้เรามีพระภิกษุสงฆ์เข้าร่วมรับการอบรม 2 รูป แม่ชี 1 รูป ผู้ป่วย-ผู้สูงอายุ-ญาติผู้ป่วยหลายท่าน นอกจากนั้นเป็นผู้ที่จะนำความรู้ความเข้าใจไปช่วยขยายผลให้กว้างขึ้น ปีนี้นับเป็นปีที่ 8 ของโครงการนี้ที่บ้านน้ำสาน โดยจำกัดจำนวนผู้เข้าอบรมให้ไม่เกิน 30 เพื่อคุณภาพของการอบรม
ในวันที่สี่ของการอบรม ท่านอาจารย์พาเราไปเยี่ยมคนไข้ระยะท้ายที่โรงพยาบาลนครพิงค์ ผู้เข้าอบรมรับการมอบหมายให้แยกย้ายกันเป็นคู่ ๆ ให้ไปเยี่ยมผู้ป่วยระยะท้ายที่ทางโรงพยาบาลจัดให้ โดยให้อยู่กับคนไข้เป็นเวลา 1 ชั่วโมง
ป้าศรีกับแม่ชีจอยได้รับมอบให้เยี่ยมผู้ป่วยหญิงวัย 40 เศษ ที่เป็นมะเร็งลำไส้ มองแว้บแรกก็คิดว่าเธอเป็นมนุษย์ที่ผอมที่สุดที่เคยเห็นมาในชีวิต ผอมจนดูเหมือนโครงกระดูก ผิวแห้งตกเป็นสะเก็ดดำ ๆ เกือบจะทั่วทั้งกายที่แห้งเป็นหนังติดกระดูก จนรู้สึกว่าไม่น่าจะมีชีวิตอยู่ได้
แต่เธอยังมีไม่ใช่แค่ชีวิต แต่ชีวาด้วย
เพราะพอลืมตาเห็นเรามาเยี่ยม (ป้าให้แม่ชีในชุดขาวบริสุทธิ์เดินนำไปข้างเตียง ป้าเดินตาม) เธอก็ยิ้มรับฟันขาว ตาที่โหลลึก กลับดูสวยเป็นประกายได้ เป็นยิ้มที่ฉายแสงใสจากใจ เป็นยิ้มที่สื่อความปราโมทย์จากมนุษย์ต่อมนุษย์ ป้าศรีรู้สึกว่าใจตัวเองใสขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง …
เอ๊ะ… ใครเป็นฝ่ายให้ ใครเป็นฝ่ายรับกันเนี่ย สรุปได้ตรงนั้นว่าในกระแสสายน้ำใจนั้น การรับกับการให้ผสานกันเป็นเกลียวธารที่หล่อเลี้ยงสรรพชีวิต
อายุแค่นี้ แต่เธอเป็นยายแล้ว เธอมีหลานเล็ก ๆ ที่เกิดจากลูกสาวคนเดียว เธอนอนอยู่โรงพยาบาลมา 3 เดือน ครอบครัวพาเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการปวดท้องกินอาหารไม่ได้ แรก ๆ สามี (ซึ่งติดเหล้า) กับลูกสาวก็มาเยี่ยม แต่พอนานเข้าก็หายไป น่าจะเป็นเพราะบ้านอยู่ในอำเภอที่ไกลออกไป และต้องทำมาหากินพร้อมเลี้ยงลูก
การสื่อสารลำบากหน่อย เพราะสำเนียงภาษา (ทั้งแม่ชีและป้าเป็นชาวกรุงเทพฯ) เธอบอกเราว่า เหงามากและเบื่อ เดินไม่ได้ ไม่มีแรง เมื่อสมัยเดินได้ก็ปวดน่อง แม่ชีกับป้าก็ช่วยกันบีบนวดให้ เธอบอกว่าชอบ สบาย แต่เกรงใจคนนวด
คุย ๆ กันไปเราก็ช่วยเธอคิดหาทางแก้เบื่อ ถามว่าสวดมนต์ด้วยกันไหม เธอบอกว่า เอา เธอสวด”อิติปิโส”ได้ เราสามคนก็อิติปิโสด้วยกันได้สักพัก ก็สอนให้เธอทำสมาธิ หายใจเข้า ”พุทธ” หายใจออก ”โธ” เราพยายาม ”พุทโธ” ให้เข้าจังหวะกับลมหายใจเธอ ด้วยการเอามือวางเบา ๆ ที่หน้าอกเธอ ทำด้วยกันไปพักหนึ่ง พอหยุดเธอก็ยิ้มตาใส บอกว่า “ม่วน” (สนุก)
สิ่งที่เธอต้องการที่สุดคือให้ลูกมาเยี่ยม กินข้าวเกรียบ และอยากได้แพมเพอร์ส เพราะนอนอยู่นี่เปียกแฉะอยู่เรื่อย พยาบาลดูแลดี แต่ไม่มีเวลาเพราะคนไข้เต็มไปหมด ช่วงที่ป้าออกมาโทรศัพท์ถึงคนขับรถให้ช่วยไปซื้อแพมเพอร์สจากร้านข้างโรงพยาบาล เธอก็บอกแม่ชีว่า เธออยากได้เสื้อยืดเพื่อใส่กลับบ้าน และข้าวสารเพื่อเอากลับไปฝากบ้าน…
หนึ่งชั่วโมงผ่านไปเร็วมาก เหมือนใส่ปีกบินอย่างเงียบเชียบสนิท ไม่ให้เรารู้ตัว
ตอนจะกลับออกมาแม่ชีเอาเงิน 500 บาทฝากคุณพยาบาลให้ช่วยซื้อเสื้อยืดกับข้าวสารให้เธอด้วย ทั้ง ๆ ที่ไม่ทราบจริง ๆ ว่า เธอจะได้มีวันใส่เสื้อยืด หิ้วข้าวสารกลับไปบ้านหรือไม่
หลังจากลาคนไข้แล้ว ก็ทยอยกันมานั่งรวมกันในห้องประชุมโรงพยาบาล เพื่อแลกเปลี่ยนการเรียนรู้จากประสบการณ์การเยี่ยมไข้
และทันทีที่ปิดคอร์สบ่ายวันศุกร์ ป้าศรีก็ปร๊าดไปแม็คโครพร้อมเงินร่วมบริจากจากผู้เข้าอบรม ไปซื้อผ้าอ้อมขนาดต่าง ๆ ทั้งผู้ใหญ่ทั้งเด็ก จำนวนมาก ๆ เพราะโรงพยาบาลนครพิงค์มีวอร์ดสามัญถึง 12 วอร์ดพร้อมกับโลชั่นเด็ก (เบบี้โลชั่น) เอาไปบริจากทันที ด้วยความรวดเร็วสมเป็นวัยรุ่นอายุ 76 อ้อ มีข้าวเกรียบแบบโบราณของทางชนบทภาคเหนือที่มีเพื่อนช่วยไปเสาะหามาให้ เอาไปให้ผู้ป่วยของแม่ชีกับป้าด้วย ทั้ง ๆ ที่ไม่แน่ใจว่าเธอจะกินมันได้ คิดเอาว่าไม่เป็นไรน่ะ เธอเคี้ยว ๆ อม ๆ มันให้สมใจก็ยังดี… และเธอก็คงดีใจที่มีคนไม่ลืมความปรารถนาของเธอ
นอกจากนั้นแล้วก็ยังซื้อคิทแคท Kit-Kat จำนวนมากไปให้คุณพยาบาลทั้งหลาย เพราะเห็นพวกเธอทำงานกันนักหนา และด้วยหัวใจจริง ๆ บางครั้งเธอก็สงสารคนไข้จนทนไม่ไหว ต้องควักกระเป๋าตัวเองซื้อผ้าอ้อมให้บางราย เงินเดือนพยาบาลโรงพยาบาลรัฐก็ไม่ใช่ว่าสูงนักนะคะ
ถ้าใครสงสัยว่าทำไมซื้อคิทแคท ขอตอบว่าป้าศรีเองชอบกินค่ะ แต่กินแล้วมันอ้วน ก็เลยผลักภาระความอ้วนไปให้คุณพยาบาลสาว ๆ ค่ะ
ที่มา: บทความ “มาคุยกันเรื่องเยี่ยมไข้” จากคอลัมน์ Reflection of Thought นิตยสาร “THE WISDOM” ฉบับกุมภาพันธ์ 2559