- คลังความรู้
- Mindset Palliative Care
Mindset Palliative Care
โรงพยาบาลหัวเฉียว ร่วมกับ ชีวามิตร จัดบรรยายวิชาการ หัวข้อ “Palliative Care”
เรื่องโดย ทีม Content ชีวามิตร
โรงพยาบาลหัวเฉียว ร่วมกับ ชีวามิตร จัดบรรยายวิชาการ หัวข้อ “Palliative Care”
โดย รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และคณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
วันที่: 18 มิถุนายน 2568
สถานที่: ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 2 อาคาร 1 โรงพยาบาลหัวเฉียว
โรงพยาบาลหัวเฉียวเป็นอีกหนึ่งโรงพยาบาลเอกชนที่มีบริการด้านการดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care) และทางโรงพยาบาลไม่เพียงเห็นถึงความสำคัญของการดูแลผู้ป่วยแบบองค์รวม ที่ครอบคลุมการดูแลทั้งผู้ป่วยและครอบครัวในด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ เท่านั้น แต่ยังเห็นถึงความสำคัญที่บุคลากรทางการแพทย์ควรมีความรู้และเข้าใจถึง “Mindset Palliative Care” ที่แท้จริง เพื่อให้บุคลากรในทุกระดับสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในหน้าที่การงานของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับบริบทของผู้ป่วยได้อีกด้วย ทางโรงพยาบาลได้แสดงถึงความมุ่งมั่นดังกล่าว ผ่านการจัดงานบรรยายในครั้งนี้ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
ซึ่งในการบรรยายครั้งนี้ได้รับเกียรติอย่างสูงจาก รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ ฉันชาย สิทธิพันธุ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และคณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาบรรยายถ่ายทอดแนวคิด องค์ความรู้ และประสบการณ์อันล้ำค่าเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง ซึ่งไม่เพียงแต่เน้นที่การดูแลรักษาอาการของโรคเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการคงไว้ซึ่งคุณภาพชีวิตที่ดี ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ที่อยู่บนพื้นฐานของเจตนาของเจ้าของชีวิต
อาจารย์ฉันชายได้เน้นย้ำถึงสาระสำคัญของการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง (Palliative Care) ว่าไม่เน้นยืดอายุขัยของผู้ป่วย แต่ให้ความสำคัญกับการเติมเต็มคุณภาพชีวิตในวันเวลาที่เหลืออยู่
“ชีวิตที่ดี ไม่ได้วัดจากความยาวนานของการมีชีวิต แต่อยู่ที่ความสมบูรณ์ของ สุขภาวะ หรือ Health span ซึ่งต่างจาก Life span ที่หมายถึงอายุยืนยาว”
ผู้ป่วยบางรายอาจมีอายุยืน แต่ต้องทนทุกข์กับอาการเจ็บปวดเรื้อรัง ซึ่งไม่ถือว่าเป็นคุณภาพชีวิตที่ดี ดังนั้น แนวทางการดูแลควรมุ่งลดระยะเวลาของความทรมาน พร้อมขยายช่วงเวลาที่ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ ไม่ใช่เป็นเพียงชีวิตที่ยังมีลมหายใจ
“Palliative care ไม่ได้เพิ่มวันเข้าไปในชีวิต แต่เพิ่มคุณภาพชีวิตเข้าไปในวันเวลาที่เหลืออยู่”
การดูแลแบบประคับประคองครอบคลุมมิติต่าง ๆ ของมนุษย์อย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย จิตใจ ความสัมพันธ์ทางสังคม สภาพแวดล้อม และจิตวิญญาณ โดยเริ่มจากการจัดการกับความเจ็บปวดและอาการไม่พึงประสงค์ทางกาย เพื่อให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกทุกข์ทรมาน
“หาก Palliative Care ไม่แข็งแรงหรือไม่มีประสิทธิภาพ คนไข้จะอยากวิ่งไปหาความตาย (การุณยฆาต)”
คำพูดนี้ของอาจารย์ฉันชาย เป็นการสะท้อนว่า สังคมไทยยังขาด Palliative Care ที่แข็งแรงอยู่ และผู้ที่จะทำให้กลายเป็น Good Palliative Care ได้ กำลังสำคัญคือ บุคลากรทางการแพทย์ทั้งองคาพยพต้องเข้าใจถึงแก่นแท้ของ Palliative Care และนำไปปรับใช้กับหน้าที่ของตนเองให้ได้
ดังนั้น Palliative Care สามารถเข้ามามีบทบาทควบคู่ไปกับการรักษาโรคได้ ตั้งแต่ผู้ป่วยถูกวินิจฉัยเป็นโรคที่รักษาไม่หาย เพียงแต่ Palliative Care จะมีบทบาทที่เด่นชัดมากขึ้นเมื่ออาการผู้ป่วยเข้าสู่ระยะท้าย ดังนั้นแพทย์ไม่ควรเข้าใจผิดว่า Palliative Care ต้องเข้ามามีบทบาทในระยะท้ายเท่านั้น เพราะหัวใจสำคัญของ Palliative Care คือ คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยที่มีเป้าหมาย ไม่เร่ง ไม่ยืดการตาย และไม่ยื้อชีวิตที่ไร้คุณภาพ จึงไม่ใช่การยอมแพ้ต่อโรคแต่อย่างใด
องค์ประกอบสำคัญของ Palliative Care ประกอบด้วยการประเมินผู้ป่วยแบบองค์รวม ทั้งการควบคุมอาการทางร่างกาย อารมณ์ ความเชื่อ ความหวัง การดูแลด้านจิตใจและจิตวิญญาณควบคู่ไปกับการสื่อสารที่จริงใจและต่อเนื่อง ระหว่างทีมรักษา ครอบครัว และผู้ป่วย
อีกประเด็นสำคัญคือการแนะนำให้ผู้ป่วยจัดทำ Living Will ของตนเองล่วงหน้า และแพทย์สามารถเข้ามามีบทบาทให้คำแนะนำได้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยทำ Living Will ได้ง่ายขึ้น หากได้รับคำอธิบายโรคที่เป็นอยู่จากแพทย์โดยตรง ซึ่งจะทำให้แพทย์ได้รับรู้ความต้องการที่แท้จริงของผู้ป่วย และเข้าใจมากขึ้น และยังช่วยให้แพทย์มีแนวทางในการสื่อสารกับผู้ป่วยและญาติอีกด้วย
ช่วงท้ายของการบรรยาย อาจารย์ฉันชายได้กล่าวถึงความหมายของ “ตายดี” ในทางการแพทย์ว่า หมายถึง การจากไปอย่างสงบเมื่อถึงเวลาอันควร ไม่มีความเจ็บปวดเกินควร ไม่ถูกยื้อชีวิตโดยปราศจากความหวัง และได้รับการดูแลทั้งทางกาย ใจ สังคม และจิตวิญญาณ
การตายดีไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ หากแต่เป็นผลจาก “การเตรียมพร้อม” ที่รอบด้าน ทั้งจากตัวผู้ป่วย ครอบครัว และบุคลากรทางการแพทย์ โดยมีจุดมุ่งหมายร่วมกันคือ การดูแลชีวิตช่วงท้ายของผู้ป่วย ให้มีชีวิตที่ดี ก่อนลมหายใจสุดท้าย
สุดท้ายอาจารย์ฉันชายยังย้ำถึงความสำคัญของ “Mindset Palliative Care” ว่าควรมีอยู่ในตัวบุคลากรทางการแพทย์ทุกคน เพราะมันไม่ใช่แค่ช่วยให้คนไข้มีคุณภาพชีวิตที่ดีจนลมหายใจสุดท้ายเท่านั้น แต่มันยังลดความรู้สึก “ล้มเหลว” ในการรักษาของทีมแพทย์ได้อีกด้วย เพียงเปลี่ยนโฟกัสจาก “โรค” มาเป็น “คน”

สนับสนุนบทความโดย
