Knowledge cover image
11 สิงหาคม 2565
  1. คลังความรู้
  2. เรายังดูแลกันอยู่

เรายังดูแลกันอยู่

ด้วยหัวใจที่ยอมรับการเกิด แก่ เจ็บ ตายอย่างเป็นธรรมชาติ


เรื่องโดย ทีม Content ชีวามิตร

เรื่องราวของครอบครัวหนึ่งที่ดูแลคุณแม่ป่วยเป็นโรคสมองเสื่อม และต้องนอนติดเตียงมากว่า 4 ปี แต่ด้วยมุมมองว่า การเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมชาติที่มนุษย์ทุกคนหลีกเลี่ยงไม่ได้ และการปรับตัวปรับใจให้เข้ากับชีวิตที่ต้องเปลี่ยนไปเมื่อต้องกลายเป็นผู้ดูแล คุณภัทรภรจึงเล่าเรื่องราวนี้ออกมาอย่างสดใสและงดงาม



...หลังจากเกษียณสัก 5 - 6 ปี แม่ใช้ชีวิตอยู่บ้านตลอด แต่เริ่มมีอาการหลงลืม มีอารมณ์แปลก ๆ บ้าง เลยให้ป๋าเกษียณออกมาอยู่เป็นเพื่อนกัน แต่ตอนนั้นแม่ก็ยังใช้ชีวิตปกติได้ ยังตื่นมาหุงข้าวให้ป๋าทุกเช้า จนเราพาแม่ไปหาหมอ ไปตรวจไปทดสอบจึงได้รู้ว่าเป็นโรคสมองเสื่อม


หลายปีหลังจากนั้น แม่มีอาการมากขึ้น จำไม่ได้ ชอบทำอะไรซ้ำ ๆ อย่างโทรหาคนนั้นคนนี้ โทรแล้วโทรอีกวันละหลายรอบ บางทีคิดไปเองว่าจะมีคนมาทำร้าย พฤติกรรมต่าง ๆ ก็เปลี่ยนไป มีช่วงชอบเช็คสมบัติ จะถามว่าโฉนดอยู่ไหน สมุดบัญชีอยู่ไหน ซึ่งหายบ่อยมากเพราะแม่เอาไปซ่อนแล้วลืม บางทีของอะไรหายต้องทำใจ เพราะเราไม่รู้แม่ซ่อนไว้ไหน


แม่ป่วยมาได้ระยะหนึ่ง ป๋าก็เสีย วันนั้นเรากับพี่สาวไม่อยู่บ้าน แม่โทรมาบอกว่า ป๋าอาการไม่ค่อยดี พวกเรารีบกลับบ้านทันที เพราะป๋าเคยมีอาการแบบนี้ครั้งหนึ่ง และเป็นโรคหัวใจอยู่ด้วย แต่มาถึงบ้านป๋าก็เสียไปแล้ว เพื่อนข้างบ้านที่มาช่วยดูบอกว่า ป๋านั่งบนเก้าอี้ หายใจเฮือก ๆ แล้วนิ่งไป เขาให้คนมาช่วยอุ้มลงมานอนกับพื้น พยายามปั๊มหัวใจ โทรเรียกกู้ภัย แต่ป๋าก็เสียไปแล้วจากหัวใจล้มเหลว เรียกว่ากะทันหันจนเราไม่ได้เตรียมใจเหมือนกัน


หลังจากป๋าเสียสักพักหนึ่ง แม่ก็มาติดเตียง มีอาการหลงลืมมากขึ้น วันหนึ่งพี่สาวอยู่ดูแลแม่ แม่ถามขึ้นว่า กุ้งกับกิ๊กไปไหน พี่สาวร้องไห้เลยเพราะแม่จำเราสองคนไม่ได้แล้ว จำไม่ได้ว่าเราคือลูกสาวของเขา พี่สาวโทรมาร้องไห้ ตามให้รีบกลับบ้าน เหตุการณ์นั้นทำให้เราต้องยอมรับว่า ต่อไปแม่จะจำอะไรไม่ได้ และอาการก็จะแย่ลงเรื่อย ๆ


ช่วงแรกพวกเราเครียดมาก ไม่ออกจากบ้านเลยเป็นอาทิตย์ เหมือนกำลังทำใจว่า จะทำอย่างไรต่อไป จะดูแลแม่อย่างไร เรารู้ว่าชีวิตต้องเปลี่ยน จะใช้ชีวิตเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว ส่วนพี่สาวเครียดมากจนนอนไม่หลับ กลัวว่าถ้าหลับพอตื่นมาเจอว่าแม่ตายไปแล้ว เลยไม่ยอมนอนทั้งคืน จนเราต้องเตือนสติกันเองว่า จะไปนั่งจ้องแม่ 24 ชั่วโมงไม่ได้ ต้องทำใจด้วย ต้องค่อย ๆ ปรับชีวิตของเราด้วย


ตลอด 3 - 4 ปีที่ดูแลแม่ติดเตียง เราเรียนรู้ว่าถ้าเครียด หรือไปจดจ่อกับความเจ็บป่วยของแม่มากเกินไป คนดูแลนี่แหละจะแย่เอง พอปรับตัวได้ก็มีระบบมากขึ้น และเราเตรียมใจเตรียมพร้อมไว้ตลอด ถ้าแม่อายุยืน เราก็ต้องปรับตัวให้ใช้ชีวิตของเราได้ด้วย อย่างเรารู้ว่าคนป่วยโรคนี้ส่วนใหญ่จะตื่นกลางคืน แล้วหลับกลางวัน ตอนนั้นหมอให้ยานอนหลับแม่มาเพราะต้องการให้เราใช้ชีวิตปกติได้ คือนอนหลับกลางคืน ตื่นตอนเช้า แต่พอให้ยานอนหลับ แม่กินข้าวไปหลับไป เราเลยปรับชีวิตพวกเราใหม่ ตื่นกลางคืน นอนกลางวัน จะได้ไม่ต้องให้แม่กินยานอนหลับ 


ชีวิตตอนนี้สลับกลางวันกลางคืนกับคนอื่น พอแม่หลับก็จะออกไปข้างนอก ไปทำธุระอะไรได้ ติดกล้องวงจรปิดไว้ ออกไปสักชั่วโมงสองชั่วโมงแล้วรีบกลับ เป็นการปรับชีวิตเราให้เดินไปได้ด้วย ให้ไม่เบื่อ ไม่เหงา ไม่เครียดจนเกินไป โชคดีที่เรามีกันสองคนพี่น้อง ก็ช่วยกัน สลับกันดูแลได้ แล้วเราก็ยังมีสังคม แม้จะออกจากบ้านไม่สะดวกก็ยังให้เพื่อนมาที่บ้านแทน


เรื่องความเจ็บป่วยของแม่ ตั้งแต่เริ่มมีอาการจากหลงลืมน้อย ๆ เพิ่มมาเรื่อย ๆ เป็น 10 กว่าปี ปัจจุบันแม่อายุ 79 ปีแล้ว ตามความเชื่ออิสลามจะไม่บอกว่าที่ป่วยติดเตียงเพราะไปทำเวรทำกรรมมา แต่เชื่อว่าเป็นบททดสอบของพระเจ้า ใครยิ่งทุกข์ทรมาน เจ็บปวด หรือเป็นโรค นี่คือพระเจ้ารัก ยิ่งโดนทดสอบมากก็ยิ่งได้รับการอภัยโทษจากพระเจ้ามาก เมื่อผ่านการทดสอบที่หนักมาแล้ว หลังจากนี้ชีวิตเขาจะเจอสิ่งที่ดี ความเชื่อแบบนี้ทำให้เรามองความเจ็บป่วยของแม่ว่า ไม่ใช่บาป ไม่ใช่กรรม ไม่ใช่ทุกข์ เพราะทุกคนต้องเจอบททดสอบกันทั้งนั้น ทุกคนต้องเจอความทุกข์อยู่แล้วในชีวิตนี้ เพียงแต่ใครจะเจอมากเจอน้อย แต่ถ้าเราผ่านไปได้ ปลายทางมันก็จะดี

แล้วครอบครัวเราทำอาชีพประกัน รู้ดีว่าเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องปกติ มีพี่ที่รู้จักกันพูดว่า เคยซ้อมตายไหม ให้ลองคิดว่าถ้าเมื่อวานตายไปแล้ว วันนี้จะเกิดอะไรขึ้น ทรัพย์สมบัติจะทำอย่างไร งานการที่ค้างจะให้ใครดูแลต่อ จะจัดงานศพอย่างไร ครอบครัวเราเข้าใจดีว่า คนเราหนีความตายไม่พ้น ยิ่งทำอาชีพประกัน ยิ่งได้เห็นคนป่วย คนตาย คนเข้าโรงพยาบาลอยู่ตลอดเวลา


ครอบครัวเราสี่คนมีแผนงานศพของตัวเองที่ทำเอาไว้เกินสิบปีแล้ว อิสลามต้องทำพิธีภายในหนึ่งวัน เราก็วางแผนไว้เลยว่าจะเชิญใครบ้าง จะฝังที่ไหน อยากให้มีคนมาละหมาดกี่คน ต้องเตรียมเงินสำหรับแจกเขาเท่าไหร่ เลี้ยงสามวัน เจ็ดวันจะเอาเมนูอะไร เขียนไว้หมดเลย ตอนป๋าเสียก็ไม่ได้ทำตามเป๊ะ ๆ หรอก เพราะคนมาเยอะก็ต้องปรับไป แต่แผนที่เตรียมไว้ทำให้จัดการอะไรง่ายขึ้น เรียกว่าจัดงานศพตามใจเรา เพราะเราตายนี่นา แต่ให้มีแนวทางสำหรับคนข้างหลังว่า จัดแค่นี้เราพอใจแล้ว ถ้าจะเยอะกว่านี้ก็ได้ แต่แค่นี้เราโอเค


อย่างเรื่องแม่ หมอที่สนิทกันทักมานานแล้วตั้งแต่แม่เริ่มป่วยว่า อาการของโรคจะเป็นแบบนี้ ให้ไปคุย ตกลงกันเลยว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้จะตัดสินใจอย่างไร จะปั๊มหรือไม่ปั๊มหัวใจ เราจึงได้คุยกันตั้งแต่แม่เริ่มป่วย ตอนที่แม่ยังคุย ยังพอรับรู้ได้ ไม่ใช่ว่าป่วยมากแล้ว ติดเตียงแล้วถึงมาคุยมาตัดสินใจกัน


อิสลามมีคำสอนว่า สวรรค์อยู่ใต้ฝ่าเท้ามารดา วันนี้เรายังอยู่บนเส้นทางของการดูแลแม่ จะคิดเสมอว่า ตอนป๋าจากไปเราไม่ได้ดูแล มาไม่ทันดูใจอีกต่างหาก แต่แม่เราได้ดูแล เรามองข้ามเรื่องความเจ็บป่วยแม่ไปเลย คิดว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ได้ดูแลแม่


แล้วข้อดีของการเป็นโรคสมองเสื่อมของแม่คือ เมื่อก่อนบ้านเราไม่กอดไม่หอมกันเพราะเขิน แต่พอแม่ป่วย เราคิดว่าแม่เป็นเด็ก บางทียังเรียกแม่ว่าหนู เรียกแม่ว่าลูกหมี พอมองแม่เป็นเด็ก เราก็จะไม่เคยโกรธเขา จะกอด จะหอม จากเมื่อก่อนไม่เคยทำก็ทำทุกวัน เพราะมองว่าแม่เป็นเด็กที่ต้องการความรักจากเรา


ถึงวันนี้ไม่เคยกลัววันที่แม่จะจากไป เพราะคิดว่าชีวิตแม่ผ่านอะไรมาเยอะแล้ว เราไม่รู้หรอกว่า การนอนอยู่แต่บนเตียงมันเจ็บปวดแค่ไหน ถ้านอนไม่ได้กระดิก พลิกซ้ายพลิกขวาเองไม่ได้ เรายังปวดเลย แล้วแม่นอนอยู่แบบนั้นจะปวดไหม เราเลยไม่คิดจะยื้อ จะไม่ทำอะไรให้แม่เจ็บปวดเพิ่มขึ้นอีก ถ้าแม่สู้ เราก็สู้ จะอยู่ด้วยกันไป ไม่ทิ้งกัน และให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่อัลเลาะห์ (ซบ.) ทรงกำหนดไว้


*หมายเหตุ เรื่องเล่านี้บันทึกไว้ในช่วงเดือนสิงหาคม 2564 ก่อนที่คุณแม่จากไปอย่างสงบที่บ้าน เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2564

ทีม Content ชีวามิตร avatar image
เรื่องโดยทีม Content ชีวามิตรเรียบเรียงจากเรื่องเล่าของคุณภัทรภร

COMMENT

ความคิดเห็น 0 รายการ

User avatar image

RELATED

บทความที่เกี่ยวข้อง

ดูทั้งหมด Krungthai ads