Knowledge cover image
12 สิงหาคม 2565
  1. คลังความรู้
  2. ความพยายาม

ความพยายาม

จากบันทึกชีวิตและประสบการณ์ของหมอ Palliative care ตอนที่ 1


เรื่องโดย นพ.ภิญโญ ศรีวีระชัย

เคยถูกบังคับให้ต้องออกจากพื้นที่ปลอดภัยกันไหมครับ


ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 7 ปีก่อน หลังจากที่ผมตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่า จะออกจากสายความถนัดทางวิชาชีพเดิม มาทำหน้าที่หมอดูแลผู้ป่วยในระยะสุดท้ายอย่างเต็มตัว เวลานั้น เหมือนกับว่าทุกอย่างต้องหวนกลับไปเริ่มต้นใหม่ ซึ่งเป็นการนับหนึ่งอีกครั้งในวันที่อายุไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว ถือเป็นการเผชิญความเสี่ยงที่ไม่ค่อยน่าจะเสี่ยงเลยครับ 


ผมจำเป็นต้องศึกษาศาสตร์ทางการแพทย์แขนงใหม่ที่ไม่เคยได้เล่าเรียนมาก่อน โดยมีอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่คือในเมืองไทยยังไม่มีการเรียนการสอนเพื่อสำเร็จเป็นแพทย์เฉพาะทางในสาขานี้


การไปเรียนต่อต่างประเทศ อาจจะเป็นความใฝ่ฝันสำหรับใครหลายคน แต่ไม่ใช่ผมอย่างแน่นอน ผมไม่อยากไป แค่การเรียนก็น่าจะทำให้เครียดมากพอแล้ว ผมไม่ต้องการปรับตัวอะไรเพิ่มเติมอีกจากการไปอยู่พลัดถิ่นท่ามกลางผู้คนที่ไม่คุ้นเคย


ความกดดันจากความไม่รู้ค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาจนผมต้องหาข้อสรุปให้ได้อย่างเด็ดขาดว่า สิ่งใดสำคัญกว่ากัน ระหว่างการทำงานที่รักซึ่งต้องการความรู้ กับการอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยต่อไปแบบผู้ที่รู้น้อย สุดท้าย ผมก็เลือกที่จะยอมทอดทิ้งพื้นที่อันหวงแหนเพื่อออกไปทำความฝันอันยิ่งใหญ่ให้เป็นจริง


พื้นที่ปลอดภัย ชื่อก็บอกอยู่แล้วครับว่า เป็นพื้นที่ที่มีความปลอดภัย ดังนั้น การละทิ้งพื้นที่นี้ไป จึงรู้สึกว่าไม่ปลอดภัยเอาเสียเลย ผมตั้งใจเลือกโรงเรียนในประเทศที่มีความชื่นชอบจนอยากจะลองไปใช้ชีวิตอยู่ดูสักครั้ง เพราะอย่างน้อย ก็คงช่วยเยียวยาความรู้สึกต่าง ๆ ทางด้านลบที่อาจจะเกิดขึ้นมาได้บ้าง 


การจมดิ่งในความกังวล ไม่ได้สร้างประโยชน์แต่อย่างใด การเตรียมตัวให้ดี น่าจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมมากกว่า คิดได้ดังนี้ ผมจึงรีบติดต่อหาสถานที่เรียน จนได้การยอมรับให้เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยโกเบ ประเทศญี่ปุ่น จากนั้นผมก็เริ่มเรียนเพิ่มเติมทั้งภาษาอังกฤษและญี่ปุ่นทันที โดยเรียน 6 วันต่อสัปดาห์ ทุกวันหลังเลิกงาน ผมต้องรีบเดินทางไปให้ทันเรียนในภาคค่ำ กินขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พอจะหาได้ระหว่างทาง และกลับถึงบ้านในช่วงใกล้ 4 ทุ่มเป็นประจำ กิจวัตรเช่นนี้วนซ้ำอยู่เกือบ 2 ปี เรียกได้ว่าเหนื่อยจนไม่มีเวลารู้สึกว่าเหนื่อยเลยครับ


เนื่องจากผมไม่เคยย่างกรายไปในดินแดนอาทิตย์อุทัยมาก่อน ข้อมูลของเมืองโกเบที่รู้จักเพียงอย่างเดียวในตอนนั้นคือสิ่งก่อสร้างที่ทำด้วยเหล็กพันกันไปมา ซึ่งมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ‘PORT TOWER OF KOBE’ ผมลงมือหารูปสัญลักษณ์สำคัญที่ว่านี้มาสอดไว้ในหน้าปกของหนังสือเรียน เพราะมีหลายครั้งครับ ที่ยอมรับว่าท้อจนอยากจะหยุดความเหนื่อยทั้งหมดลง และในวันแบบนั้น สิ่งที่พอจะทำให้หัวใจดวงเล็ก ๆ กลับมาชุ่มชื่นอีกครั้งได้ ก็คือการได้มองไปที่รูปใบนี้แล้วพูดกับตัวเองเบา ๆ ว่า วันหนึ่งเราจะได้พบกัน



มีคำถามจากผู้คนรอบข้างมากมายว่า ทำไมผมจึงตัดสินใจไปเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีกำแพงทางด้านภาษาที่สูงลิบจนทำให้ตัวเองต้องตรากตรำถึงขนาดนี้ เหตุผลง่าย ๆ อย่างแรกก็คือ ผมชอบที่นี่ครับ ความชอบก็จัดได้ว่าเป็นเหตุผลที่สำคัญมาก ๆ เลยนะครับ เพราะนอกจากสถานที่อันสวยงาม หรือฤดูกาลที่น่าหลงใหลแล้ว การไปใช้ชีวิตอยู่ถึง 2 ปี ผมไม่ได้หวังแค่อยากจะได้ความรู้ทางวิชาการเท่านั้น แต่ผมต้องการทราบถึงแนวคิดรวมถึงปรัชญาของความเป็นคนญี่ปุ่นด้วย ว่าพวกเขาคิดและทำกันอย่างไร ประเทศที่เรียกได้ว่าแพ้สงครามเมื่อประมาณ 70 ปีก่อน จึงพลิกขึ้นมาเจริญก้าวหน้าจนติดอันดับโลกได้ในปัจจุบัน น่าสนใจใช่มั้ยล่ะครับ 


นอกจากนี้ ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งซึ่งสำคัญไม่แพ้กันเลย คือผมสัมผัสได้ว่าการดูแลผู้ป่วยในระยะสุดท้ายนั้น ประเพณี วัฒนธรรม รวมถึงความเชื่อต่าง ๆ มีส่วนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยค่อนข้างมาก ดังนั้นผู้คนที่อาศัยอยู่ทางซีกโลกตะวันออกเหมือนกัน ก็น่าจะมีความคล้ายคลึงกันให้นำมาประยุกต์ใช้ต่อไป


สิ่งเหล่านี้คือเหตุผลที่ทำให้ผมยอมแลกความลำบากทั้งหมด เพื่อให้ตนเองได้มีโอกาสเรียนรู้และเติบโตต่อไปครับ

วันที่ 5 เดือน 5 เป็นวันที่ผมออกเดินทางจากประเทศไทย ก้าวออกจากพื้นที่ปลอดภัยของตัวเองอย่างสมบูรณ์ เพื่อไปเรียนต่อแพทย์เฉพาะทางด้านการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองที่ประเทศญี่ปุ่น ความสำเร็จทั้งหมดได้เกิดขึ้นแล้ว ..ไม่สิ..มันแค่กำลังจะเริ่มต้นต่างหาก


ถ้าไม่พยายามในวันนั้น ผมก็คงไม่มีโอกาสได้เห็นหอคอยสีแดงตั้งตระหง่านที่ริมชายฝั่งด้วยตาของตนเอง คงไม่ได้เห็นดอกซากุระบานสะพรั่งพร้อมกันไปทั่วทั้งผืนป่า คงไม่ได้สวดมนต์อ้อนวอนขอความตายอันสงบในวันที่ไต้ฝุ่นเข้าโจมตี คงไม่ได้วิ่งหนีพายุหิมะโดยไม่คิดชีวิตอย่างหัวซุกหัวซุน คงไม่ได้เห็นทั้งเมืองกลายเป็นอัมพาตหลังการเกิดแผ่นดินไหว คงไม่ได้พบครูที่ถ่ายทอดประสบการณ์ให้อย่างเมตตาพร้อมกับดูแลความเป็นอยู่ทุกอย่างในชีวิต และที่สำคัญ ผมก็คงไม่ได้เป็นผมอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้


เมื่อย้อนกลับไปคิดถึงช่วงเวลาที่ความพยายามเป็นราวกับยาขม ผมไม่มีทางรู้ได้เลยว่าสิ่งที่ลงแรงกระทำไปนั้นจะสำเร็จขึ้นมาจริงหรือไม่ ความตั้งใจทั้งหมดอาจจะสูญเปล่าและเหลือทิ้งไว้เพียงร่องรอยของความเจ็บปวดก็เป็นได้


แต่ผมก็เชื่ออย่างหมดหัวใจว่าถ้าวันหนึ่งเมื่อเหตุปัจจัยถึงพร้อม ความพยายามนั้นย่อมสำเร็จขึ้นมาได้อย่างแน่นอน และถึงแม้ว่าในอดีตที่ผ่านมา ทุกความพยายามของผมก็ไม่ได้ผลิดอกออกผลได้อย่างที่ตั้งใจ แต่เรื่องราวแห่งความปวดร้าวเหล่านั้น กลับทำให้ผมเรียนรู้เรื่องหนึ่งได้เป็นอย่างดี นั่นคือผมจะสามารถผ่านความล้มเหลวได้ง่ายขึ้น เมื่อรู้สึกว่าตนเองได้พยายามกับสิ่งนั้นจนถึงที่สุดแล้ว


ในทุกวันนี้ ผมจึงยังคงพยายามต่อไป และในบางครั้ง ก็ไม่ได้พยายามเพื่อให้ประสบความสำเร็จ แต่พยายามเพื่อให้วันที่ไม่สำเร็จ จะได้ไม่เสียใจจนต้องย้อนกลับมาถามกับตัวเองซ้ำ ๆ ว่า ผมได้พยายามมากพอแล้วหรือยัง

นพ.ภิญโญ ศรีวีระชัย avatar image
เรื่องโดยนพ.ภิญโญ ศรีวีระชัยนายแพทย์ชำนาญการพิเศษ ศูนย์บริรักษ์ โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งนอกจากจะเป็นแพทย์ด้านการดูแลแบบประคับประคองแล้ว ยังเป็นคุณหมอนักเขียนผู้ผลิตผลงานออกมาสม่ำเสมอ อย่างนวนิยายที่กลั่นกรองประสบการณ์ตรงจากการทำงานด้านการดูแลแบบประคับประคอง คือ มรณเวชกรรม และการุณยฆาต ที่ได้รางวัลการันตีมาแล้วทั้งสองเล่ม

COMMENT

ความคิดเห็น 0 รายการ

User avatar image

RELATED

บทความที่เกี่ยวข้อง

ดูทั้งหมด Krungthai ads