Knowledge cover image
3 กุมภาพันธ์ 2568
  1. คลังความรู้
  2. เล่านิทาน อ่านชีวิต

เล่านิทาน อ่านชีวิต

เบิร์ด - นีลชา เฟื่องฟูเกียรติ นักเล่านิทานผู้ตั้งใจสื่อสารเรื่องความตายให้เป็นเรื่องธรรมดาอย่างเป็นธรรมชาติ


เรื่องโดย ทีม Content ชีวามิตร

‘แมวน้อยไม่กลับชาติมาเกิดอีกแล้ว’

‘นกน้อยก็ไม่กลับชาติมาเกิดอีกแล้ว’


เราขอเริ่มเรื่องราวของนักเล่านิทาน “เบิร์ด - นีลชา เฟื่องฟูเกียรติ” ด้วยหน้าสุดท้ายจากหนังสือภาพ “แมวน้อยร้อยหมื่นชาติ*” (เรื่องและรูปโดย โยโกะ ซาโนะ แปลและเรียบเรียงโดย พรอนงค์ นิยมค้า สำนักพิมพ์แพรวเพื่อนเด็ก) ที่เบิร์ดนำไปเล่าบนเวที “วิชาชีวิต : Life Talk on Stage” ซึ่งชีวามิตรจัดขึ้นเมื่อ 31 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา 


ส่วนบรรทัดถัดมา คือหน้าสุดท้ายของนิทานชีวิตที่เบิร์ดเล่าให้ฟังเมื่อเราถามว่า หากชีวิตของเธอเป็นหนังสือนิทานสักเล่มหนึ่ง มันจะถูกเขียนขึ้นอย่างไรและจะจบลงอย่างไร 


“กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว มีเด็กผู้หญิงคนนึงเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ มีชีวิตอยู่สักพักหนึ่ง แล้วก็ตายไป จบ!”



เป็นหลาย “นัก” แต่ที่หลงรักมากๆ คือนักเล่านิทาน


ก่อนจะมาเป็นนักเล่านิทานอย่างที่เรารู้จัก เบิร์ดทำงานมาหลากหลายสัมมาชีพและทุกวันนี้ก็ยังคงทำหลายอย่างไปพร้อมๆ กัน เธอเล่าว่า “งานที่เบิร์ดทํามีหลายอย่างมาก เริ่มต้นจากการเป็นนักแสดงอิสระอยู่กับกลุ่มละครมะขามป้อมที่ทํางานละครเพื่อประชาชน ช่วงหนึ่งเป็นนักพากย์นักลงเสียง และเป็นนักจัดกระบวนการเพื่อการเรียนรู้โดยใช้เครื่องมือละคร 


คำว่าเครื่องมือละครหมายถึงว่า เราจะรู้จัก 5 sense หรือเซ้นส์ทั้ง 5 แล้วนำสิ่งนี้มาทำงานกับคนธรรมดาที่ไม่ได้เป็นนักแสดง ให้เขาได้เรียนรู้ รู้จักตัวเองในแง่มุมที่อาจจะไม่เคยสังเกตนะ คล้ายๆ ความรู้สึกตัวเหมือนกันนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เพื่อให้รู้จักตัวเอง แล้วก็เป็นครูสอนโยคะอย่างจริงจังช่วงหนึ่งและนี่ก็กำลังจะกลับมาสอนอีกค่ะ ล่าสุดคือเขียนบทโทรทัศน์เพิ่งกล้าเรียกตัวเองปีนี้เอง


“เคยมีเพื่อนเกาหลีที่เป็นนักละครงงมากว่าทำไมทำงานข้ามสายได้ ศิลปินบ้านเราไม่เหมือนบ้านเรือนอื่นค่ะ คือไม่สามารถทำอะไรอย่างเดียวได้ ต้องทําอะไรหลาย ๆ อย่าง (หัวเราะ) แต่สิ่งที่ทํามาตลอดคือ นิทาน” 



เบิร์ดยังบอกอีกด้วยว่าทุกวันนี้การทำงานมาจากความรู้จากการทำงานละครตั้งแต่วัยรุ่นผสมผสานกับการเรียนจากคณะครุศาสตร์หลักสูตรประถม ซึ่งการตัดสินใจเลือกเรียนครุศาสตร์ “หลักสูตรประถม ก็มีที่มาน่าสนใจมาก เธอเล่าว่า


“ประทับใจหลักสูตรที่บอกว่า ถ้าเด็กทําทุกอย่างเป็นตั้งแต่อยู่อนุบาลแล้ว ตอนประถมคุณจะสามารถค้นพบศักยภาพของตัวเองได้เพื่อที่จะพัฒนามันต่อไป เพราะเรารู้สึกว่าที่เรารอดและเติบโตมาได้จากการที่ครอบครัวแตกแยกตอนที่อยู่ ม.ปลาย ต้องบอกว่าแม่เป็นคนดี พ่อเป็นคนดีนะคะ แต่เขามีปัญหากัน เรายังคงเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาได้นั่นเป็นเพราะการอิ่มเต็มแล้วระยะหนึ่ง กินอิ่ม นอนอุ่น มีความปลอดภัยเพียงพอตั้งแต่ประถมศึกษา พอจะเรียนมหาวิทยาลัยก็เลยเลือกเรียนอันนี้ แต่ไม่เคยสอนเด็กประถมเลย ได้สอนจากการที่ไม่ได้เป็นครูโรงเรียนแต่เป็นนักจัดกระบวนการทำเวิร์คช็อปกับคุณครูอีกทีหนึ่ง ทีนี้เราคิดถึงเรื่องนิทาน เด็กประถมไม่ค่อยเอาเพราะว่านิทานมันดูเป็นเด็กใช่ไหม แต่จริง ๆ แล้วนิทานมีสำหรับคนตั้งแต่วัย 0 ถึง 100 ปี อันนี้เพื่อนที่ทำงานหนังสือภาพชาวเกาหลีของเบิร์ดพูด

  

“แล้วเบิร์ดก็ชอบหนังสือนิทานภาพอยู่แล้ว ตอนทำกระบวนการอาจไม่ค่อยเน้น แต่ว่าคอยสังเกตตัวเองอีกทีกับงานที่ตัวเองทํา แล้วที่บ้านก็หนังสือเยอะมาก ไอ้เราเนี่ยพอมันหลงรักใช่ไหมคะจากที่ว่าจะไม่สะสมอะไรนะในชีวิต ก็ดันถูกใจอันนี้ ซื้อมาไว้ แต่ว่ามันหยุดแค่นั้นไม่ได้ค่ะ เสียดาย หนังสือยับไม่เป็นไร แต่ว่าอยากให้มันถูกเปิดซ้ำ ไม่ใช่ขนาดว่าเปิดห้องสมุดนะ คิดอยู่แต่ว่ายัง ก็เลยคิดว่าเราควรที่จะเอาไปใช้ซ้ำดีกว่า เลยเกิดการเป็น ”นักเล่านิทาน“ ขึ้นมา แต่การเล่านิทานของเบิร์ดก็จะไม่เหมือนนักเล่านิทานที่เปิดหนังสืออ่านอย่างเดียว เพราะเราก็แบบว่าซน สนุกบ้างอะไรบ้าง เราก็จะทำกิจกรรมต่อยอดหรือว่าออกแบบการแสดงต่อเนื่องจากเรื่องของนิทานนะคะ ทํามาเรื่อย ๆ ตอนนี้ก็ยังทำอยู่” 


“ช่วงโควิดทุกคนไปไหนก็ไม่ได้ Peaceful death องค์กรที่รู้จักกัน เขาเคยดูละครนิทานที่เบิร์ดทำจากหนังสือนิทานภาพเรื่องแมวน้อยร้อยหมื่นชาติ ซึ่งมันเกี่ยวกับเรื่องความตาย ความรัก เลยชวนเบิร์ดเล่านิทานผ่าน Zoom ตอนนั้นยังใช้ไม่เป็นเลย ก็ค่อย ๆ เรียนรู้จนกระทั่งซูมเป็น ซูมไปทั้งหมด 22 รอบ มีเด็ก คุณพ่อคุณแม่มาเข้าจอทีวีครั้งละประมาณ 30 จอ ช่วงนั้นเบิร์ดได้เล่าหนังสือเกือบ 22 เล่ม ชวนเพื่อนให้มาช่วยเล่าด้วย จากตอนนั้นก็เลยมีความสนใจเพิ่มมากขึ้นและจริงจังสําหรับหนังสือนิทานภาพ

 


ความชอบหนังสือภาพนั้น เธออธิบายว่าเพราะคำที่ไม่มากนั้นถูกคิดมาอย่างละเอียดถี่ถ้วนและมีความหมาย ประกอบกับภาพที่สวยงามเป็นงานศิลปะที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ทำให้เธอรู้สึกดื่มด่ำและเรียนรู้ได้อย่างลึกซึ้ง 


“หนังสือนิทานภาพเล่มหนึ่งมันเป็นงานศิลปะชั้นเลิศ ทําไมเรียกอย่างนั้นเพราะหนังสือดีก็มี หนังสือไม่ดีก็มี แต่ว่าไอ้ที่เราชอบเนี่ยมันต้องตาต้องใจเรา มันเป็นงานศิลปะที่ศิลปินเลือกแล้วทั้งคําทั้งภาพมาวางผนวกกันแล้วก็สื่อสารออกมาเป็นหนังสือ เบิร์ดจึงใช้ศิลปะเหล่านี้สื่อสารเล่าเรื่องที่อยากเล่า ก็จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรู้สึกกลัว การรู้จักตัวเอง การมีชีวิตอยู่ การคิด การเถียงกับใครแล้วไม่ไปตบกับเขาอะไรอย่างนี้ (หัวเราะ) คนเรามันเถียงกันได้ มนุษย์อะเนอะ เบิร์ดค่อย ๆ เจอนิทานแบบที่เราสนใจ คือนิทานเยอะมากในโลกนี้ แต่ว่านิทานประเด็นที่เราสนใจต่างหากที่เราค่อย ๆ เก็บรวบรวมเข้ามา 


ปกติถ้าไม่ทำงานเบิร์ดไม่ค่อยเจอใคร แล้วก็เราฟุ่มเฟือยเรื่องคําพูดเยอะมาก มีอดีตที่ทําร้ายคนด้วยคําพูดเยอะมากก็เลยขี้เกียจละ แล้วบางทีการควบคุมมันไม่สนุกนะในการเจอคนเยอะ ๆ แต่พอเวลาเราทํางานโดยใช้งานศิลปะ ไม่ต้องมาพูด ถึงแม้เราต้องไปทำอะไรกับเขา เราก็ให้งานศิลปะทํางาน เพราะฉะนั้นการเล่านิทาน การใช้หนังสือภาพเป็นสื่อก็เลยตอบโจทย์มาก 



คือนกน้อยที่บอกเล่าเรื่องราวของแมวน้อยร้อยหมื่นชาติ 


อยากเล่าเรื่องเกี่ยวกับความเศร้า เพราะคิดว่าหากรู้จักความเศร้าเราจะสามารถมีความสุข เรื่องที่หยิบมาเล่า เช่น แมวน้อยร้อยหมื่นชาติ นำเสนอเรื่องของแมวตัวหนึ่งที่ตายซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเหมือนกับว่าความตายเป็นเรื่องธรรมดา 

“คุณโยโกะ ซาโนะ เป็นทั้งนักเขียนและศิลปินวาดรูปสีน้ำ รูปวาดของเขาเป็นสีน้ำที่ทำงานกับความรู้สึกของคน เอ่อ .. ของเบิร์ดเองละกัน เบิร์ดประทับใจมาก ทําอย่างไรดีเราถึงจะเล่าเรื่องนี้ได้โดยสื่อไปตรง ๆ บิดงานของเขาน้อยที่สุด ตีความน้อยที่สุด เบิร์ดก็เลยใช้เทคนิคพาวเวอร์พ้อยท์ ขออนุญาตเอาทําขึ้นจอ แล้วคำที่เล่าก็เอาตามนี้เลยสํานวนของคุณพรอนงค์ นิยมค้า พิมพ์โดยสำนักพิมพ์แพรวเพื่อนเด็กนะคะ บทของการเล่าบนเวทีวิชาชีวิตที่เบิร์ดได้รับเชิญจากพี่หญิง (ไขศรี วิสุทธิพิเนตร - ชีวามิตร) ก็ตามหนังสือเลย ไม่เล่นมุกมาก เล่นนิดนึง เช่น เห็นแมวน้อยไหมคะ ในหนังสือไม่ได้เขียน เราก็ชวนคนดูนิดหนึ่ง แล้วก็เล่า แต่ว่าไม่ได้เล่าแห้ง ๆ อย่างเดียว ลองใส่เพลงหนึ่งเพลงลงไปด้วย


“เล่มนี้ถ้าสมมติว่าอ่านคนเดียวก็จะแล้วแต่แต่ละคน อันนี้บอกไม่ได้ต้องตัวใครตัวมันนะ แต่บนเวทีสารที่เบิร์ดส่งไป เริ่มอ่านให้คนอื่นฟัง เราอ่านด้วยความประทับใจของเรานั่นแหละ เรื่องนี้มันพูดเกี่ยวกับความตาว่า ความตายเป็นเรื่องธรรมดา อย่างเช่นหน้านี้บอกว่า ‘แมวน้อยตายจนเป็นเรื่องธรรมดา’ มันเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นในชีวิตทุกชีวิต ก็จะเล่าไปในแนวนั้น แต่ว่าพอดีในเรื่องนี้มันมีตรงนี้ค่ะ ติ๊ง! มีแมวขาว แมวน้อยเขาห้าว ไม่เคยรักใคร ไม่เคยสนใจใครเลย จนในชีวิตชาติที่เขาเป็นแมวจร จากที่ไม่เคยรักใคร ไม่เคยสนใจใครเลย พอมีแมวขาวตัวนี้เข้ามาในชีวิต กลับมีความรักความห่วงหาบางอย่าง พอมีเรื่องความรักเข้ามาจึงไม่ใช่เรื่องความตายอย่างเดียว สุดท้ายมีความสุขสุดสุด แมวน้อยไม่เคยเผยอหยิ่งผยองอีกเลย เขาชอบพูดคำว่า ข้านี่ตายมาแล้วร้อยหมื่นชาติ แต่พอมาเจอแมวขาว ตอนแรกก็ทำแบบโชว์นะ แล้วก็พูดนั่นพูดนี่ แมวขาวก็จะ อ้อ อ้อ อ้อ ไม่รู้ไม่ชี้ …เอ้ย! ขออยู่กับเธอได้ไหม (หัวเราะ) แล้วแมวน้อยก็เลยมีความรักเกิดขึ้นครั้งแรก เขาไม่เคยพูดคําว่าข้าตายมาแล้วร้อยหมื่นชาติอีกเลย แมวน้อยรักแมวขาวกับลูก ๆ ยิ่งกว่าตัวเองเสียอีก 


วันหนึ่งแมวขาวก็นอนนิ่งไม่ไหวติง แมวน้อยร้องไห้เป็นครั้งแรก ตกค่ำก็ร้องรุ่งเช้าก็ร้อง แมวน้อยร้องไห้จนกระทั่งเที่ยงวันของอีกวันหนึ่งมันก็หยุดแล้วก็นอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ข้างแมวขาว และหน้าสุดท้ายจบที่ว่าแมวน้อยไม่กลับชาติมาเกิดอีก ซึ่งประโยคนี้เป็นประโยคที่เบิร์ดต้องการจะเล่า” 

เบิร์ดบอกว่า ก่อนที่เธอจะเริ่มเล่าหนังสือเล่มนี้เธอต้องอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกระทั่งไม่สะเทือนใจ ไม่ร้องไห้ขณะเล่า การสื่อสารนิทานภาพเล่มนี้จึงได้เริ่มต้น ถามเธอว่าเด็กและผู้ใหญ่รับรู้เรื่องความตายผ่านแมวน้อยร้อยหมื่นชาติต่างกันไหม  


“เท่าที่ผ่านมามีการรับรู้ได้เท่า ๆ กันแต่ว่ารับรู้ในลักษณะที่ต่างกันมากกว่า เคยมีเด็ก 8 ขวบฟังเรื่องแมวน้อยร้อยหมื่นชาติน้องมากับป้า เด็กก็เดินมาบอกว่า ทําไมถึงตายแล้วไม่ตายไปเฉย ๆ ล่ะคะ ทําไมเราต้องเสียใจด้วยกับความตาย เด็กถามตรง ๆ ซื่อ ๆ นะ ไม่ได้มันมาถามแบบมีกลมีเล่ห์เพราะว่าเขาเป็นเด็ก ซึ่งเด็กเนี่ยมีภาษีเยอะกว่าผู้ใหญ่นิดหนึ่งคือยังไม่สั่งสมอะไรมากมายนัก ผู้ใหญ่จะมีการสั่งสม การเติบโตมา มีข้อดีข้อเสียไม่เหมือนกันอยู่แล้ว การสั่งสมมาทําให้เราเข้าใจชีวิตอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ก็มีความกลัวเพิ่มขึ้น มีความตั้งการ์ดระแวดระวังซับซ้อนมากขึ้น ในขณะที่เด็กซับซ้อนน้อยกว่า เพราะฉะนั้นการรับรู้เรื่องความตายกับการพรากจากของเด็กกับผู้ใหญ่ก็ต่างกัน ผู้ใหญ่จะสะเทือนใจมากกว่า เสียใจมากกว่า เสียดายมากกว่า และมีความกลัวมากกว่า 

ถ้าอย่างนั้นการเรียนรู้เรื่องความตายสำคัญอย่างไร เบิร์ดตอบว่า

“เรียนรู้ความตายเพื่ออยู่ต่ออย่างไร ถ้าวันนี้รู้ว่าเดี๋ยวตายแล้วเนี่ย เบิร์ดไม่ได้แช่งตัวเองนะ แต่ถ้าวันนี้ตายเบิร์ดจะเหลือเวลาแค่นี้ไว้ทําอะไรต่อ คือมันรู้ว่าข้างหน้าจะทําอะไรต่อเมื่อรู้ว่าสุดท้ายต้องเจออะไร การตายคือการเตือน อย่างถ้าให้สัมภาษณ์นี้เสร็จแล้วตาย เราทําอะไรไม่ทันแล้ว บอกลาแม่ยังไม่ทันเลย ถ้ามันต้องตายก็ทำให้เราคิดว่า เราจะอยู่ต่ออย่างไร”  




สื่อสารเรื่องความตายผ่านนิทานเพื่อให้เข้าใจถึงความเป็นธรรมดาของชีวิต 

เบิร์ดใช้ศิลปะหนังสือนิทานภาพเข้ามาพูดเข้ามาเสนอเรื่องที่หนัก เบิร์ดไม่เคยพูดภาษาบาลีทั้งที่ตัวเองสนใจเรื่องของคําสอนของพระพุทธเจ้า 

“เราสนใจเรื่องการเล่านิทานหรือเริ่มทำงานศิลปะสื่อสารกับผู้คน เพราะว่าอยากจะชวนกันให้มาอยู่ดีนะคะ เพราะอยู่อย่างไรมันตายอย่างนั้น เบิร์ดเชื่อแบบนั้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่เลือกเล่า งานที่เลือกทําก็ไม่ได้เรื่องเกี่ยวกับความตายอย่างเดียว เพราะจริง ๆ แล้วคือเรื่องจะอยู่อย่างไรมากกว่า ทั้งการคิดแบบเหตุผล การผ่อนคลายให้เป็น การรู้จักภาวะอารมณ์ต่าง ๆ ของตัวเอง ซึ่งมันปรากฏในหนังสือนิทานภาพเยอะมาก 

เบิร์ดไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญความตายนะคะ ทำงานตอนแรกไม่ได้เริ่มจากความตาย เบิร์ดทำงานลักษณะว่าอยู่อย่างไรให้ดีก่อนตายมากกว่า แต่พอดีว่านิทานที่เราเล่าแล้วคนฟังเยอะ ๆ คนประทับใจเรื่องเหล่านี้ สิ่งที่เบิร์ดและคนที่เคยทำงานร่วมกันสนใจร่วมกันคือ การใช้ชีวิต เบิร์ดว่าคนเราไม่ว่าจะปฏิบัติธรรมหรือไม่ก็ตาม ต่างก็สนใจเรื่องการใช้ชีวิต จะมีชีวิตอยู่อย่างไร แล้วทุกคนก็มีจุดร่วมเหมือนกัน เรื่องความตายเป็นสิ่งที่ใครก็ต้องเจอ แล้วมันน่ากลัวด้วยเพราะทุกคนไม่เคยเจอ เรามีโอกาสเพียงครั้งเดียว แต่เรามองเป็นมุมลบตลอด ทั้งที่มันไม่มีค่าเป็นลบไง ค่าของมันก็คือเป็นแค่การเกิดขึ้นชนิดหนึ่งเท่านั้น 

“เบิร์ดว่าคนเราพอโตขึ้นก็อยากเข้าใจชีวิต ยิ่งพอเราอายุขึ้นเลข 5 ปั๊บ เพื่อนที่จะมาคุยเรื่องซื้อรถใหม่ซื้อบ้านใหม่เนี่ยไม่ค่อยมีแล้ว แต่จะมาคุยว่าป่วยเจ็บแล้วจะอยู่กับความรู้สึกเจ็บปวดยังไงดี แค่คุยกันแบบไม่ใช่ขอความเห็นด้วย”  


นักเล่านิทานคนนี้มีแนวคิดเกี่ยวกับความตายอย่างไรกัน เธอบอกว่าการได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับความตายมากขึ้น เห็นมิติเรื่องนี้ในหลากมุม ทำให้ความคิดเกี่ยวกับความตายของเธอเปลี่ยนไป 


ก่อนหน้านี้เบิร์ดเตรียมตัวตายแบบต้องเตรียมตัวตาย คือใช้ชีวิตอย่างระแวดระวังที่สุดเพื่อจะตาย และออกแบบความตายด้วย แต่ตอนนี้เปลี่ยน พอเราทําเรื่องความตายมาเรื่อย ๆ ตอนนี้คิดว่าตายอย่างไรก็แบบนั้นเลย ไม่ใช่ไม่กลัว หรือไม่หวั่นไหว แต่เพราะมันเลือกไม่ได้ ถ้าเขาจะมา เราไม่สามารถเลือกได้ ไม่สามารถบิดพลิ้วได้ เพราะฉะนั้นก็แบบนั้นเลย ตรงนั้นเลย“ 


มี “ความรู้สึกตัว” เป็นเพื่อนชีวิต

คนที่ใช้ชีวิตด้วยหลากหลายการงานอย่างเบิร์ด น่าสนใจว่าอะไรคือเพื่อนชีวิตของเธอ


“ความรู้สึกตัว สติ ความรู้สึกตัว ช่วยให้เราอยู่ตรงนี้ไม่แตกซ่านไปที่ไหน ไม่ฟุ้งซ่านกระจายไปที่ไหน เพราะเบิร์ดเป็นคนฐานใจ เป็นคน emotion มาก ๆ มีคําคอมเมนต์ในงานมาด้วยนะว่า เธอเตือนไม่ได้นะเบิร์ด… ทําไมล่ะพี่ เบิร์ดเธอ sensitive เกินไป มันก็เจ็บปวดนะ แต่ว่ามันเป็นความจริงของเขา ซึ่งเรารู้สึกว่ามันก็จริงแหละ (หัวเราะ) ยอมรับ แต่ว่าเป็นคนฟุ้งซ่าน เราเป็นคนที่ธรรมชาติ คิดเล็กคิดน้อย น้อยอกน้อยใจไปสู่ที่ที่ต้องซุกตัว อย่างนั้นอย่างนี้ แต่ถ้ารู้สึกตัวปุ๊บ ไม่มีอะไร มันไม่มีอะไร มันก็แค่นั้นแหละ ไม่ใช่ว่าเบิร์ดมีสติตลอดนะ สติก็ไม่เที่ยงไง ถ้าเข้าใจว่าสติไม่เที่ยงปุ๊บ มันไม่ต้องไป hold สติไว้ แล้วมันก็ทําไปอย่างนี้ เลยแบบว่าไม่ต้องมีใครมาชี้ถูกชี้ผิดแล้วด้วย เพราะเรารู้อยู่แก่ใจว่ามันคืออะไร เราไม่กล้าแนะนำใครหรอก แต่ที่เบิร์ดทําอยู่วันนี้คือไม่ได้ทําอะไรเลย ก็คือรู้สึกตัวในปัจจุบัน




“อยากเป็นคนที่เข้าใจความธรรมดาอย่างถ่องแท้”


เวลาใครสักคนแนะนำตัวคนทั่วไปคงบอกชื่อนามสกุลและการงาน แต่การแนะนำตัวของเบิร์ดต่างออกไป นั่นอาจเพราะความผสมผสานที่อยู่ในตัวเธอ ทั้งการเป็นคนหลากอาชีพ ความเป็นคนที่สนใจเรื่องราวการใช้ชีวิตและสนใจพุทธศาสนา คำตอบเธอจึงมีว่า

“ถ้าจะแนะนําตัวเอง ก็จะแนะนำตัวเองว่าเป็นคนที่อยากจะเข้าใจความเป็นธรรมดาอย่างถ่องแท้ ในการที่เราจะเลือกทำ ไม่ว่าจะเป็นอาชีพหรือสามารถที่จะทำอะไร อยากให้มันเป็นเนื้อเดียวกับชีวิตที่เราใช้ เพราะฉะนั้นในตัวงานที่เป็นรูปธรรมก็เลยมีหลายอย่างมาก 


เบิร์ดเป็นคนปฏิบัติธรรม เป็นคนพุทธที่ปฎิบัติธรรมโดยธรรมชาติ เราสนใจเรื่องปฏิบัติ สนใจเรื่องเซ็น ตั้งแต่อายุ 17 อ่านไม่รู้เรื่องหรอก แต่ชอบประโยคในหนังสือเรื่องหนึ่ง …เขาบอกว่าคุณจะไม่พบความสุขที่สุดหรือความทุกข์ที่สุดอีกต่อไป เราก็เฮ้ย! มีอย่างนี้เลยเหรอ วัยรุ่นอย่างเรา พ่อแม่กําลังร้าวฉาน เศร้ามากเลยชีวิต …มีอย่างนี้จริงเหรอ พออายุ 20 ก็เริ่มปฏิบัติธรรม ตอนนั้นจบมหาวิทยาลัย สั้น ๆ ก็คือแบบว่าเราไปทางนั้นทางนั้น เราไม่รู้ทําไมต้องไป แต่ว่าอยากเข้าใจ มันมีความเศร้าบางอย่างที่เกิดจากครอบครัวเราแตกแยกอะไรอย่างนี้ แม้ว่าพ่อกับแม่จะมีน้ำใจกับเราต่อเนื่อง แต่ว่านี่คือความบีบอัดในอารมณ์นี้ แล้ว เอ๊ะ! ทำไมจะต้องรับอันนี้ มันมีวิธีอื่นไหมที่จะมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องร้องไห้ทุกวัน โดยไม่ต้องรู้สึกว่ามีรูใหญ่ ๆ ตรงนี้ (ทาบมือที่อก) โดยไม่ต้องมีอะไรรองรับอ่ะ มีไหมนะ อืมม มันต้องมีอะไร แล้วสติมันก็ขึ้นมา คำสอนบางอย่างที่เขาแชร์กันอย่างนั้นนะคะก็ค่อย ๆ ไล่เรียง มีครูบาอาจารย์” 



ถามเธอว่าความสุขของเธอคืออะไร 


“ความสุขของเบิร์ดคือการใช้ชีวิตประจําวันค่ะ ตื่นมาแล้วยังคงลุกจากเตียงได้ เพราะมันมีช่วงที่เราลุกลําบาก มีช่วงที่ปวดหลังมากจนลุกไม่ได้ เดินไม่ได้ เรายังไม่เคยเป็นมะเร็ง แต่ว่าเป็นกระดูกสันหลังเบี้ยว เป็นนิ่ว เป็นแบบที่ที่หลาย ๆ คนเป็น เนื้องอก มีอาการตึง เป็นโรคนิยมที่ทุกคนนิยมเป็นกัน แต่เราดีลกับมัน แล้วมีช่วงหนึ่งเรากราบพระไม่ได้เพราะปวดหลังมาก แต่ว่ามันก็…อ้าว! กลับมาได้! เพราะว่าเราดูแล ไปหานักกายภาพเพิ่มเติม ไม่ต้องกินยาก็ดีขึ้น เราก็เลย…โอ้! กราบพระทุกครั้งที่กราบได้ ตื่นมาแล้วซักผ้าทุกครั้งที่ยังใช้นิ้วได้ เพราะมันมีบางช่วงที่นิ้วเริ่มออกอาการเหมือนกัน ถึงแม้เราจะดูแลแล้ว แต่ก็เพราะมันธรรมดาเนอะมันต้องเสื่อม เพราะฉะนั้นความสุขก็คือตื่นมาแล้วใช้ชีวิตประจำวันได้ มาให้สัมภาษณ์พูดคุยได้” (ยิ้ม) 

แล้วความสุขของนักเล่านิทานล่ะ?


“เหมือนเมื่อกี้ที่เบิร์ดคุยและเล่านิทานให้ฟังแล้วทุกคนก็ส่งพลังแบบนี้มาให้ ตรงนั้นแหละที่มันเป็นความสุขของเรา”  


 

*ในระหว่างการสัมภาษณ์ เบิร์ดเล่าถึงหนังสือนิทานภาพหลากหลายเล่ม “ชีวามิตร” ขอแนะนำชื่อหนังสือที่เบิร์ดเล่าถึง เผื่อสนใจไปหามาอ่านด้วยกัน

- แมวน้อยร้อยหมื่นชาติ : โยโกะ ซาโนะ เรื่องและภาพ / พรอนงค์ นิยมค้า แปล สำนักพิมพ์แพรวเพื่อนเด็ก

- ถ้าร้อน ก็ถอดเสื้อสิ และหนังสือเล่มอื่น ๆ ของผู้เขียน : ชินสุเกะ โยชิทาเกะ เรื่องและภาพ สำนักพิมพ์ SandClock Books

- หมวกใบเล็กของเจ้าปลายักษ์ และเห็นหมวกของฉันไหม : จอน คลาสเซน (Jon Klassen) เรื่องและภาพ สำนักพิมพ์ Amarin Kids

- หนังสือภาพเล่มต่าง ๆ นักเขียนบีทริกซ์ พอตเตอร์ (Beatrix Potter) 

- นิ่ง / Calm : ชีวัน วิสาสะ เรื่องและภาพ สำนักพิมพ์ครูชีวัน

- การเดินทางของส่วนที่หายไป (The Missing Piece Meet Big O) : เชล ซิลเวอร์สไตน์ (Shel Silverstein) เรื่องและภาพ สำนักพิมพ์บ้านบนต้นไม้


ชมรายการ “เพื่อนชีวิต” ตอนที่ 4 “เล่านิทาน อ่านชีวิต” เบิร์ด - นีลชา เฟื่องฟูเกียรติ


ทีม Content ชีวามิตร avatar image
เรื่องโดยทีม Content ชีวามิตรอยู่อย่างมีความหมาย จากไปอย่างมีความสุข

COMMENT

ความคิดเห็น 0 รายการ

User avatar image

RELATED

บทความที่เกี่ยวข้อง

ดูทั้งหมด Krungthai ads